ก่อนที่จะถึงวันที่ 26 ก.พ. ทุกสายตาคงกำลังจดจ้องไปที่คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ว่าจะออกมาเช่นไร ซึ่งขณะนี้ทุกคนไม่รู้ว่าคำพิพากษาที่ออกมาจะหั่นและแฉในทุกรายละเอียดของการโกงมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือขณะนี้เชื่ออย่างยิ่งว่านักโทษชายคงกำลังตุ๊มๆ ต่อมๆ ร้อนๆ หนาวๆ ประเภทหายใจเข้าก็ 7.6 หมื่นล้าน หายใจออกก็ 7.6 หมื่นล้าน อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลายคนกำลังคาดเดากันไปว่า 10 วันอันตรายจะอันตรายจริงหรือไม่นั้น วันนี้ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ขออาสาพาไปคุยกับ 3 นักวิชาการ กับอีก 1 ป.ป.ช. เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
-1-
คมสัน โพธิ์ คง
คณะนิติศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.)
หากมีการตัดสินไม่ยึดทรัพย์คิดว่าการเคลื่อนไหวของสังคมคงสูง เพราะมันจะมีทั้งกลุ่มที่ไม่ยอมรับ และกลุ่มที่ดีใจกับการไม่ยึดทรัพย์ ดังนั้นกลุ่มที่ไม่ยอมรับก็คงเคลื่อนไหวค่อนข้างแรง แต่ถ้าหากถูกยึดทรัพย์ คิดว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงน่าจะแผ่วลง ไม่คิดว่าน่าจะแรงเท่าไหร่
วันที่ 26 ก.พ. เสื้อแดงไม่น่าจะมีการเคลื่อนไหว ถ้ามีก็คงน้อยมาก ถ้าไปเคลื่อนไหวกดดันมากการตัดสินคดีอาจจะไม่เป็นอย่างที่เขาต้องการ เลยต้องนิ่งๆ ส่วนเหตุการณ์จะรุนแรงหรือไม่รุนแรง น่าจะเกิดก่อนการยึดทรัพย์มากกว่า ถ้าก่อนยึดทรัพย์รุนแรง หลังจากนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว แต่ถ้าเขานิ่งๆ พวกเขาคงมีความมั่นใจว่า น่าจะไม่โดนยึดทรัพย์ หรือถ้ายึดก็น้อย การเคลื่อนไหวก็เลยลดลงแล้วจะค่อยๆ ขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆ แต่เขาไม่เลิกเคลื่อนไหวแน่ๆ
ถึงแม้ทักษิณจะโดนยึดทรัพย์หรือไม่ยึดทรัพย์ ทักษิณก็ไม่หยุดเคลื่อนไหวหรอก เพราะโดนจำคุก 2 ปี คงหยุดไม่ได้ เขาไม่หยุดกับเงินแค่ 7.6 หมื่นล้านหรอก เขาต้องการกลับมามีอำนาจมากกว่า แต่ว่าแรงเคลื่อนจะมีมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ถ้าไม่โดนยึด การเคลื่อนไหวเขาจะช้าลงนิดนึงแล้วจะค่อยๆ กระตุ้นใหม่ คือถ้าโดนยึดมันสร้างกระแสความชอบธรรมให้เขาเยอะ เขาก็บอกว่ามีความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว เป้าหมายก็มุ่งตรงไปที่องคมนตรีทั้งหลาย
-2-
สมบัติ ธำรงธัญวงศ์
อธิการบดีนิด้า
ไม่ว่ากระบวนการนี้จะตัดสินอย่างไร คือถ้าหากยกฟ้องคุณทักษิณ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าศาลตัดสินให้ยึดไม่ว่าจะยึดทั้งหมด หรือว่ายึดบางส่วน ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้นอำนาจตุลาการก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์
ประเทศเรามีประชาชน 66 ล้านคน การกระทำต่างๆ ก็เพื่อคน 66 ล้านคน ไม่ควรมีคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติไปผูกพันกับเรื่องส่วนตัวคุณทักษิณเพียงคนเดียว หากเรื่องของคุณทักษิณคนเดียวต้องทำให้คนทั้งประเทศเดือดร้อนมันก็ไม่เหมาะสม ใครจะรัก เชิดชู คุณทักษิณก็เป็นสิทธิส่วนตัว แต่การกระทำนั้นต้องไม่ทำให้คนในประเทศได้รับความเสียหาย และหากเกิดความไม่สงบรัฐบาลก็ต้องมีหน้าที่ดูแลประเทศ และรัฐบาลก็สามารถบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมสถานการณ์ที่ไม่สงบได้ แต่ถ้ารัฐบาลบกพร่องต่อหน้าที่ ก็ไม่ควรเป็นรัฐบาลต่อไป
การตัดสินคดียึดทรัพย์ของนักโทษชายครั้งนี้ไม่ได้สร้างความสนใจให้กับคอการเมืองอย่างเดียว แต่กำลังสร้างบรรทัดฐานให้กับนักการเมืองในอนาคตด้วย ที่สำคัญคดีนี้ยังเป็นหัวใจสำคัญของนักโทษชายที่กำลังจะส่งผลไปถึงคดีอื่นๆ ที่เขาทำผิดอีกมากมาย
-3-
บรรเจิด สิงคะเนติ
คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
คดีดังกล่าวถือเป็นหัวใจสำคัญของระบอบทักษิณ คือมันจะมีผลสำคัญต่อเนื่องไปถึงคดีอื่นด้วย เรื่องที่เกี่ยวพันกับคดีอื่นมันจะไปเกี่ยวโยงกับการกระทำของคุณทักษิณหลายๆ เรื่อง ดังนั้นความสำคัญจึงขึ้นอยู่ที่ตัวเนื้อหาของคำพิพากษาของศาลว่าจะเขียนตรงนี้อย่างไร มันจะไปเกี่ยวพันกับคดีอื่นหรือไม่ ถ้าศาลลงรายละเอียดตรงนี้ มันเหมือนเป็นการไปผูกมัด หรือผูกพันคุณทักษิณในหลายคดี เช่น เอ็กซิมแบงก์ ที่มีการฟ้องไว้แล้ว หรือคดีที่เป็นเรื่องภาษีสรรพสามิต หรืออาจจะมีคดีอื่นๆ ตามมาอีก ดังนั้นคดีนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะโยงคุณทักษิณ ไปในมิติของความผิดที่จะไปเกี่ยวโยงกับเรื่องของเงินที่จะยึดเท่าไหร่
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบอกว่าซุก การซุกมีกี่ครั้งมันจะเกี่ยวโยงทางอาญาหรือไม่อย่างไร หรือมาตรการเอื้อประโยชน์ถ้าไม่ถูกต้องก็ไปพันในคดีสรรพสามิต เอ็กซิมแบงก์ ตรงนี้มันจะมีผลเกี่ยวโยงอีกยาว จึงเป็นคดีที่มีความสำคัญต่อคดีในอนาคตมากๆ ที่มันเกี่ยวโยงกับประเด็นที่เป็นเรื่องของการทุจริตเชิงนโยบาย จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะไปพิพากษาศูนย์กลางของความทุจริตคอร์รัปชัน เรื่องนี้ประเด็นจึงอยู่ที่จะปิดเกม หรือฟอกคุณทักษิณ
เชื่อว่างานนี้ศาลจะต้องทำคดีนี้ให้เป็นมาตรฐาน ทำให้เป็นตัวอย่างสำหรับนักการเมืองในอนาคต
-4-
วิชา มหาคุณ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
คำพิพากษาออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับ ผมไม่เป็นห่วงอะไร ผมคิดว่าทางศาลจะวินิจฉัยที่มีเหตุและผลที่จะเป็นที่ยอมรับได้หมด เพราะว่าเรื่องนี้มันอยู่ในสายเลือดของตุลาการอยู่แล้ว...
แต่เราจะไปพูดยังไง ทางฝ่ายผู้สนับสนุนก็ต้องบอกว่า มันไม่ได้ มันอย่างนั้นอย่างนี้ เอาอย่างนี้ ย้อนกลับไปดูคดีซุกหุ้น สมัยนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็โดนกดดันขนาดหนัก จนบางท่านก็จำเป็นต้องวินิจฉัยไปในทางที่เป็นประโยชน์ และนายกฯ ทักษิณก็ได้ประโยชน์ไปในการบริหารราชการแผ่นดิน แล้วพอศาลวินิจฉัย ฝ่ายที่เขาคัดค้าน โดยเฉพาะทาง ป.ป.ช. สมัยนั้นก็ยอมรับคำวินิจฉัย ฝ่ายผู้คัดค้านก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อ จบก็คือจบ
ทั้งนี้ ในขณะนี้มีหลายประเด็นที่ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ เช่น ประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่บางส่วนเห็นว่าน่าจะแก้ บางส่วนเห็นว่าแก้ไปแล้วจะได้อะไร มันก็ปะทะกันอยู่ตรงนี้ แล้วยังมีปัญหาเรื่องการตัดสินคดี ฝ่ายหนึ่งก็เห็นว่ามันไม่เป็นธรรม ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่ามันดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ดำเนินการมาถูก และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอีก ที่มีประเด็นปัญหา คือแต่ละประเด็นมันเป็นปัญหาย่อยก็จริง แต่ว่ามันมาจากจุดอันเดียวกัน คือ การลงรอยกันไม่ได้ระหว่างผู้ที่พ้นจากอำนาจไปแล้วและต้องการจะกลับคืนสู่อำนาจ กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เปลี่ยนสถานะเปลี่ยนขั้ว ผลของมันก็เป็นเพียงว่าการอ้างจุดแต่ละจุด แต่ว่าจุดใหญ่คือการไม่ลงรอยกัน ก็คือการพยายามกลับคืนสู่อำนาจ กับอีกฝ่ายก็เห็นว่าคุณกลับมาไม่ได้ คุณยังมีปัญหา...
ปัญหาของเราคือ มันไม่เป็นไปตามกระบวนการ เพราะว่าท่านจะปฏิเสธว่า ศาลตัดสินไม่ชอบ ท่านก็เข้ามาไม่ได้ เพราะท่านปฏิเสธคำวินิจฉัยของศาลอยู่ ดังนั้น ท่านก็ต้องทำความเข้าใจว่าท่านจะอยู่แบบยาวต่อไปให้บ้านเมืองสงบสุข หรือท่านคิดว่าจะล้างทั้งหมดได้ ไม่ให้ใครเหลืออยู่เลย ศาลอะไร ก็ไม่เอาแล้ว ที่เคยวินิจฉัยท่าน แล้วท่านไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาล แล้วท่านจะเดินกลับเข้ามาในประเทศแบบไม่มีอะไรผูกพันเลย มันก็จะไปพัวพันเรื่องใหม่ที่เกี่ยวพันเป็นวงจรที่ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็เหมือนกับไปสร้างเรื่องใหม่ขึ้น เรื่องใหม่ก็ผูกติดกับเรื่องเก่า มันก็ยึดโยงๆๆ ไปโดยตลอด...