xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

บีโอไอ:สถานภาพของไทยในเวทีลอจิสติกส์ระหว่างประเทศ

เผยแพร่:   โดย: ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์

รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับลอจิสติกส์เป็นอย่างมาก โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งและลอจิสติกส์อย่างบูรณาการ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ในภูมิภาค

ประเด็นสำคัญ คือ ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ในภูมิภาคอย่างไร ซึ่งดูแล้วหากไม่มีการดำเนินนโยบายอย่างจริงจังแล้ว นับเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม เนื่องจากต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญ คือ สิงคโปร์ ทั้งในส่วนการขนส่งทางเรือและการขนส่งทางอากาศ ซึ่งปัจจุบันนำหน้าประเทศไทยหลายช่วงตัว เนื่องจากมีระบบบริหารรัฐกิจที่ประสิทธิภาพสูงกว่า และกฎระเบียบที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจมากกว่า

เรามาลองศึกษาดูบ้างว่าปัจจุบันสถานภาพของไทยในเวทีลอจิสติกส์ระหว่างประเทศเราอยู่ในระดับใดบ้าง นำหน้าหรือตามหลังประเทศคู่แข่งมากน้อยเพียงใด

ธุรกิจขนส่งทางอากาศ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศในปี 2551 ปริมาณ 2,292 ล้านตัน-กม. นับเป็นผู้ประกอบการขนส่งทางอากาศใหญ่อันดับที่ 24 ของโลก และอันดับที่ 3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลนส์ และสายการบินมาเลเซียนแอร์ไลนส์

ธุรกิจขนส่งทางอากาศของการบินไทยใช้พื้นที่ระวางใต้ท้องเครื่องบินโดยสาร (Belly) เป็นหลัก โดยยังไม่มีเครื่องบินแบบ Freighter ซึ่งออกแบบสำหรับขนส่งสินค้าเป็นการเฉพาะ ทำให้เสียเปรียบคู่แข่งขัน ทั้งนี้ อันดับของบริษัทการบินไทยได้มีแนวโน้มลดลงจากอันดับที่ 22 ของโลกในปี 2545 เป็นอันดับที่ 24 ในปี 2550

ธุรกิจท่าอากาศยาน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในปี 2551 มีปริมาณการขนถ่ายสินค้า 1,173.084 ตัน นับว่ามีปริมาณการขนถ่ายสินค้ามากเป็นอันดับที่ 20 ของโลกและอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากท่าอากาศยานชางกีของสิงคโปร์ ซึ่งอยู่อันดับที่ 10 ของโลก

อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าอันดับของท่าอากาศยานกรุงเทพมหานคร (ท่าอากาศยานดอนเมืองต่อเนื่องถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) มีแนวโน้มลดลงตามลำดับ กล่าวคือ ในปี 2545 ท่าอากาศยานดอนเมืองมีปริมาณการขนถ่ายสินค้ามากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก ต่อมาในปี 2546 ได้ลดลง 2 อันดับ เป็นอันดับที่ 19 ของโลก และมีปริมาณการขนถ่ายสินค้าเป็นอันดับ 19 ของโลก ติดต่อมาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปี 2550 และหล่นลงมาเป็นอันดับที่ 20 ของโลก ในปี 2551

การจัดอันดับท่าอากาศยานที่มีปริมาณการขนถ่ายสินค้ามากที่สุดในโลกในปี 2551

แหล่งข้อมูล : Airport Council International



ธุรกิจท่าเรือ
ปัจจุบันประเทศไทยมีท่าเรือหลัก 2 แห่ง คือ ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) โดยเดิมท่าเรือกรุงเทพนับว่าเป็นท่าเรือหลักของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม จากการที่ท่าเรือแหลมฉบังเปิดดำเนินการนับตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา ทำให้ปริมาณการขนถ่ายสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีปริมาณการขนถ่ายสินค้าแซงหน้าท่าเรือกรุงเทพนับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา สถิติล่าสุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 ท่าเรือแหลมฉบังมีปริมาณการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ 2.1 ล้าน TEU ขณะที่ท่าเรือกรุงเทพมีปริมาณการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ 0.6 ล้าน TEU

สำหรับการจัดอันดับของ Alphaliner Weekly Newsletter พบว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 ท่าเรือ PSA ของสิงคโปร์ มีปริมาณการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์มากที่สุดในโลก คือ 12.2 ล้าน TEU โดยครองตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกมาหลายปีติดต่อกัน รองลงมา คือ ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ของจีน 11.6 ล้าน TEU ท่าเรือฮ่องกง 9.9 ล้าน TEU ท่าเรือเซินเจิ้นของจีน 8 ล้าน TEU ท่าเรือปูซานของเกาหลีใต้ 5.6 ล้าน TEU

หมายเหตุ : *TEU = ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จำนวน 1 ตู้
แหล่งข้อมูล : Alphaliner Weekly Newsletter

สำหรับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งมีปริมาณการขนถ่าย 2.1 ล้าน TEU อยู่ที่อันดับ 18 ของโลก ดีขึ้น 1 อันดับ จากเดิมในปี 2550 เป็นอันดับ 19 ของโลก นอกจากนี้ ยังมีปริมาณการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์มากเป็นอันดับที่ 4 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากท่าเรือ PSA ของสิงคโปร์ ท่าเรือเคลังของมาเลเซีย และท่าเรือตันหยงพาเลพัสของมาเลเซีย

ธุรกิจสายการเดินเรือ จากสถิติปี 2551 สายการเดินเรือของไทย คือ บริษัท อาร์ซีแอล จำกัด (มหาชน) นับเป็นสายการเดินเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์รายใหญ่อันดับที่ 24 ของโลก และอันดับ 4 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเรือทั้งหมด 44 ลำ มีระวางบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์รวม 57,836 TEU ทั้งนี้ ได้ปรับอันดับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดิมอันดับ 33 ของโลก ในปี 2543 เลื่อนมาเป็นอันดับที่ 29 ในปี 2546 เลื่อนขึ้นอีกเป็นอันดับ 25 ในปี 2549 และอันดับ 24 ในปี 2551

หมายเหตุ : *TEU = ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จำนวน 1 ตู้
แหล่งข้อมูล : Alphaliner Weekly Newsletter

อย่างไรก็ตาม เรือของสายการเดินเรืออาร์ซีแอลส่วนใหญ่จดทะเบียนที่สิงคโปร์ ไม่ได้จดทะเบียนเรือที่ประเทศไทยแต่อย่างใด เนื่องจากระบบราชการของสิงคโปร์มีประสิทธิภาพและเอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจมากกว่า ทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยหากจดทะเบียนเรือในประเทศไทย อาจจะส่งผลกระทบทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง

สำหรับปัญหาเรือไทยไปจดทะเบียนต่างประเทศนั้น แม้พูดกันมาก แต่นับเป็นปัญหาเรื้อรังหลายสิบปีที่ยังแก้ไขไม่ตก แม้รัฐบาลจะมีนโยบายพูดกันมาหลายยุคหลายสมัยว่าจะส่งเสริมให้เรือไทยมาจดทะเบียนในประเทศไทยก็ตาม และในอนาคตอาจจะมีบริษัทอื่นๆ ที่ปัจจุบันจดทะเบียนเรือในประเทศไทย กำลังพิจารณาหันไปจดทะเบียนเรือในสิงคโปร์เป็นการเพิ่มเติม เนื่องจากกฎระเบียบเอื้ออำนวยมากกว่า

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th

กำลังโหลดความคิดเห็น