ลอจิสติกส์นับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการตัดสินแพ้ชนะในสงคราม ผู้เชี่ยวชาญถึงกับกล่าวว่า “สัจธรรมสมัยใหม่ของสงคราม คือ มือสมัครเล่นจะถกเถียงกันในเรื่องยุทธวิธี ขณะที่มืออาชีพจะถกเถียงกันในเรื่องลอจิสติกส์” (A modern axiom of war is that amateurs will discuss tactics and professionals will discuss logistics.) โดยลอจิสติกส์สามารถตัดสินการแพ้ชนะของสงครามตั้งแต่ยังไม่ได้ยิงกระสุนนัดแรกด้วยซ้ำ
ตัวอย่างใกล้ตัวของประเทศไทย คือ ปัญหาภาคใต้ ซึ่งการโจมตีของผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาในด้านลอจิสติกส์คือ การโจมตีในเส้นทางขนส่งในการส่งครูเพื่อไปสอนยังโรงเรียน ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนที่ทางรัฐบาลแก้ไม่ตก ต้องเดินทางตามยถากรรมโดยใช้รถโดยสารซึ่งไม่ปลอดภัยเมื่อถูกโจมตีทั้งระเบิดหรือกระสุนปืน โดยไม่มีรถหุ้มเกราะแต่อย่างใด
สำหรับกรณีของทหารสหรัฐอเมริกา ในสงครามอิรักก็เผชิญกับปัญหาคล้ายคลึงกันกับของประเทศไทย โดยเผชิญกับการโจมตีในเส้นทางลอจิสติกส์ ทหารสหรัฐฯ ต้องเสียชีวิตจากการโจมตีในรูปแบบนี้เป็นคิดสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 63 ของการสูญเสียชีวิตทั้งหมด ดังนั้น กองทัพสหรัฐฯ ได้ทำการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังเพื่อลดการสูญเสียชีวิต เป็นต้นว่า ได้วิเคราะห์พบว่ารถฮัมวี่ที่มีท้องเรียบขนานไปกับพื้นถนน ไม่สามารถทนทานต่อแรงระเบิดได้ จากนั้นกองทัพสหรัฐฯ ได้ปรับปรุงรถบรรทุกขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังได้เสริมเกราะเพิ่มเติมให้แก่รถบรรทุกที่มีอยู่แล้วเพื่อให้ทนทานต่อแรงระเบิดและการยิงมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น บางส่วนได้เปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกแบบสามารถคุ้มครองจากทุ่นระเบิดและการโจมตี (Mine-Resistant Ambush-Protected vehicles - MRAP) ที่มีเกราะหนากว่าและท้องรถยนต์เป็นรูปตัว V ทำให้สามารถทนทานต่อแรงระเบิดมากกว่ารถยนต์แบบฮัมวี่เป็นอย่างมาก ดังนั้น แทนที่จะเน้นสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ที่มีราคาแพงเหมือนกับกองทัพของบางประเทศ กองทัพสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับการสั่งซื้อรถยนต์แบบ MRAP เป็นจำนวนมากมายถึง 15,000 คัน มูลค่า 22,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 800,000 ล้านบาท หรือคันละประมาณ 50 ล้านบาท
กองทัพสหรัฐฯ กำหนดให้โรงงานรีบเร่งผลิตรถยนต์ MRAP ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ และบางส่วนได้ขนส่งโดยเร่งด่วนทางเครื่องบินไปยังอิรัก ทั้งนี้ นับถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ได้ส่งไปยังอิรักแล้วเป็นจำนวนมากกว่า 10,000 คัน ทำให้ในระยะหลังสามารถลดการสูญเสียกำลังพลลงไปได้มาก
สำหรับในประวัติศาสตร์ มีสงครามจำนวนมากมายที่ตัดสินการแพ้ชนะโดยปัจจัยในด้าน
ลอจิสติกส์ เป็นต้นว่า สงครามระหว่างกองทัพของพระเจ้านโปเลียนมหาราชของฝรั่งเศสและกองทัพรัสเซียเมื่อปี 2355 พระเจ้านโปเลียนมหาราชได้จัดเตรียมไพร่พลมากถึง 600,000 คน เพื่อต่อสู้กับกองทัพรัสเซียซึ่งมีกำลังพลน้อยกว่า คือ 488,000 คน รวมถึงได้วางแผนในด้านลอจิสติกส์โดยใช้ระบบคลังสรรพาวุธที่จัดส่งเสบียง เช่น ขนมปังกรอบ แป้งสาลี ข้าวโอ๊ต ฯลฯ ไปล่วงหน้า เพื่อรอทหารที่จะเดินทางไปถึงในภายหลัง
แต่กองทัพนโปเลียนกลับเผชิญปัญหาในด้านลอจิสติกส์อย่างคาดไม่ถึง โดยถนนหนทางของรัสเซียยังด้อยพัฒนา ทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักกองเกวียนที่ใช้ขนส่งยุทธปัจจัยจำนวนมากมายมหาศาลโดยหน่วยส่งกำลังบำรุงได้ นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับภูมิอากาศหิมะตกหนัก ทำให้ไม่สามารถหาหญ้าแห้งมาเลี้ยงม้าที่ใช้ในการขนส่ง จึงส่งผลทำให้ม้าที่ใช้ในการขนส่งต้องอดอยาก และล้มตายเป็นจำนวนมาก
แม้ว่ากองทัพนโปเลียนจะสามารถบุกยึดกรุงมอสโคซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัสเซียได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากขาดแคลนเสบียงอาหาร ทำให้ทหารประสบกับความอดอยากหิวโหย ขาดขวัญกำลังใจ และเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จึงพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ สูญเสียกำลังพลไปเกือบทั้งหมดในสงครามครั้งนั้น
สำหรับสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีบุกรัสเซียเมื่อปี 2484 ใช้กำลังทหารมากมายถึง 3 ล้านคน ในช่วงแรกสามารถรุกคืบหน้าได้อย่างรวดเร็ว และทำลายกองทัพของรัสเซียได้เป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุดกลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ โดยสาเหตุสำคัญ คือ ด้านลอจิสติกส์ กล่าวคือ ยิ่งกองทัพเยอรมนีถลำลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งยุ่งยากในการส่งกำลังบำรุงมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากถนนในรัสเซียเป็นแบบลาดยางที่สามารถใช้ได้ทุกฤดูกาลเพียงแค่ 65,000 กิโลเมตร ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงมีฝนตกในรัสเซีย ทำให้ถนนมีสภาพเป็นโคลนตม ทำให้ยากในการขนส่งทางถนน
แม้สถานการณ์ในด้านลอจิสติกส์เริ่มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเริ่มฤดูหนาว ทำให้พื้นดินแข็งแรงพอสำหรับรองรับรถบรรทุกสำหรับการขนส่งทางถนน แต่ก็สายไปแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ระบบลอจิสติกส์ของเยอรมนีไม่สามารถขนส่งเสื้อกันหนาวให้กับทหารที่อยู่แนวหน้าได้ ทำให้ทหารเยอรมนีต้องเผชิญกับฤดูหนาวอันหฤโหดของรัสเซีย ซึ่งบางครั้งอุณหภูมิลดต่ำลงถึง -25 ถึง -30 องศาเซลเซียส ส่งผลทำให้กองทัพทหารเยอรมนีที่ประชิดกรุงมอสโคต้องสูญเสียกำลังพลจากอากาศอันหนาวเหน็บเป็นจำนวนมากถึง 5 เท่า ของกำลังพลที่เสียชีวิตจากการรบ
สำหรับในสงครามเกาหลี ในช่วงแรกกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนต้องประสบปัญหาอย่างมากในด้านลอจิสติกส์ โดยยิ่งบุกลึกห่างจากพรมแดนจีนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งประสบปัญหามากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากการขนส่งยุทธปัจจัยต้องเผชิญกับการทิ้งระเบิดของเครื่องบินพันธมิตร โดยในช่วง 7 เดือนแรกของสงคราม รถบรรทุกของจีนถูกทำลายจากเครื่องบินสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากกว่า 3,000 คัน
ปัญหาสำคัญของกองทัพจีนไม่ใช่ความเข้มแข็งของทหารสหรัฐฯ แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับสามารถรุกโจมตีได้อย่างเข้มแข็งจนประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ปัญหาที่จีนต้องเผชิญคือ ปัญหาทางด้านลอจิสติกส์ที่ทำให้ไม่สามารถเผด็จศึกเอาชนะทหารสหรัฐฯ ได้ บางครั้งเมื่อยึดพื้นที่ได้แล้ว ต้องถอนทหารกลับมา เนื่องจากมีปัญหาไม่สามารถส่งยุทธปัจจัยให้กับทหารในแนวหน้า ถึงกับมีการกล่าวกันว่าปัญหาสำคัญที่สุดของกองทัพจีนในช่วงนั้นมี 4 ประการ คือ ทหารไม่มีอาหารรับประทาน ทหารไม่มีกระสุนสำหรับยิง ทหารไม่มีเสื้อกันหนาว และเมื่อทหารได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถส่งกลับไปยังแนวหลังเพื่อรักษาพยาบาลได้
จากปัญหาข้างต้น ในบรรดาทหารจีนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ประมาณ 400,000 คน มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 ที่เสียชีวิตจากการสู้รบ ส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 ต้องล้มตายโดยไม่เกี่ยวกับการสู้รบแต่อย่างใด ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความอดอยากเนื่องจากการขาดแคลนอาหาร หรือมิฉะนั้นก็หนาวตายเนื่องจากขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม เนื่องจากในประเทศเกาหลี ช่วงฤดูหนาวมีอุณหภูมิลดต่ำลงถึง -30 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น กองทัพจีนได้ก่อตั้งกองบัญชาการหน่วยส่งกำลังบำรุงขึ้น พร้อมกับแต่งตั้งให้นายพัน Hong Xuezhi ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการหน่วยส่งกำลังบำรุง ซึ่งสร้างความไม่พอใจกับตัวเขาเป็นอย่างมาก โดยเขาต้องการเป็นผู้บัญชาการทหารที่สู้รบอยู่ในแนวหน้า และดูหมิ่นดูแคลนภารกิจเกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุงว่าเป็นงานหลังฉากที่ไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศเนื่องจากทำงานอยู่แนวหลัง แต่ก็ได้ยอมรับตำแหน่งนี้ โดยมีข้อแม้ว่าภายหลังสงคราม จะต้องย้ายออกจากหน่วยงานส่งกำลังบำรุงนี้
ภายหลังรับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยส่งกำลังบำรุง เขาได้ดำเนินยุทธวิธีแบบใหม่ๆ เป็นต้นว่า
ประการแรก เร่งก่อสร้างเส้นทางลอจิสติกส์ที่สามารถป้องกันการทิ้งระเบิดของข้าศึก ประกอบด้วยเครือข่ายอุโมงค์ 200 กิโลเมตร เส้นทางที่อยู่ในรูปคูและสนามเพาะอีก 650 กิโลเมตร รวมถึงก่อสร้างคลังอาวุธและยุทธปัจจัยใต้ดิน โดยเฉพาะบริเวณเหมืองแร่เก่าที่สามารถพัฒนาขึ้นได้ง่าย
ประการที่สอง เน้นการขนส่งในเวลากลางคืนเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจพบของข้าศึก โดยช่วงกลางวัน ทหารและรถบรรทุกจะหลบอยู่ในอุโมงค์หรือสนามเพาะ
ประการที่สาม ระดมกำลังทหารช่างและมวลชนจำนวนมากหลายแสนคน ทำหน้าที่ดูแลและซ่อมแซมเส้นทางส่งกำลังบำรุง ทั้งถนน สะพาน ทางรถไฟ ให้สามารถกลับมาใช้ขนส่งได้อย่างรวดเร็ว ภายหลังการโจมตีทิ้งระเบิดของข้าศึก
จึงทำให้สถานการณ์การสู้รบของจีนปรับตัวดีขึ้นนับตั้งแต่กลางปี 2495 เป็นต้นมา ปัญหาในด้านลอจิสติกส์สามารถแก้ไขได้เป็นผลสำเร็จ โดยนักประวัติศาสตร์ทางการทหารได้กล่าวว่าความสำเร็จของหน่วยลอจิสติกส์แห่งนี้มีบทบาทสูงทำให้กองทัพสัมพันธมิตรไม่สามารถเผด็จศึกในสงครามครั้งนี้ได้ ต้องมาขอเจรจาสงบศึก
กรณีของประเทศไทย ปัญหาทางด้านลอจิสติกส์ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะสงครามในหลายต่อหลายครั้ง เป็นต้นว่า เมื่อครั้งสงคราม 9 ทัพในสมัยรัชกาลที่ 1 พระเจ้าปดุงของพม่า ได้จัดกำลังพล 9 ทัพ ประกอบด้วยกำลังพล 144,000 คน ยกกองทัพมาพร้อมกัน 5 เส้นทาง เมื่อปี 2328 เพื่อมาตีประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นเพิ่งก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เพียงแค่ 3 ปี และฝ่ายไทยมีกำลังน้อยกว่าคือ มีเพียง 70,000 คน
ทั้งนี้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลได้เน้นโจมตีจุดอ่อนสำคัญของฝ่ายพม่า คือ ด้านลอจิสติกส์ โดยทัพไทยไปตั้งค่ายดักพม่าอยู่ที่ชายแดนบริเวณทุ่งลาดหญ้าหน้าด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นช่องเขา เปรียบเสมือนเป็นตรอก ทำให้กองทัพพม่าไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ต้องหยุดตั้งค่ายอยู่บริเวณชายทุ่งลาดหญ้า ส่วนกองทัพหนุนของพม่าต้องหยุดตั้งค่ายเรียงรายกันอยู่ในช่องเขาบรรทัด ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่ทุรกันดาร การคมนาคมขนส่งไม่สะดวก เนื่องจากต้องขนส่งเสบียงอาหารจากดินแดนพม่าข้ามภูเขาและป่าทึบ ทำให้ถูกซุ่มโจมตีเพื่อชิงเสบียงระหว่างทางได้ง่าย
จากนั้นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าขุนเณรเป็นนายทัพกองโจร คุมทหารจำนวน 1,500 คน ไปคอยตีสกัดเสบียงพม่า ทำให้กองทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้าอ่อนกำลังลงเพราะขาดเสบียงอาหาร และเมื่อข้าศึกอ่อนกำลังลงมากแล้ว ฝ่ายไทยจึงเข้าโจมตี ทำให้สามารถเผด็จศึกและได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th
ตัวอย่างใกล้ตัวของประเทศไทย คือ ปัญหาภาคใต้ ซึ่งการโจมตีของผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาในด้านลอจิสติกส์คือ การโจมตีในเส้นทางขนส่งในการส่งครูเพื่อไปสอนยังโรงเรียน ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนที่ทางรัฐบาลแก้ไม่ตก ต้องเดินทางตามยถากรรมโดยใช้รถโดยสารซึ่งไม่ปลอดภัยเมื่อถูกโจมตีทั้งระเบิดหรือกระสุนปืน โดยไม่มีรถหุ้มเกราะแต่อย่างใด
สำหรับกรณีของทหารสหรัฐอเมริกา ในสงครามอิรักก็เผชิญกับปัญหาคล้ายคลึงกันกับของประเทศไทย โดยเผชิญกับการโจมตีในเส้นทางลอจิสติกส์ ทหารสหรัฐฯ ต้องเสียชีวิตจากการโจมตีในรูปแบบนี้เป็นคิดสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 63 ของการสูญเสียชีวิตทั้งหมด ดังนั้น กองทัพสหรัฐฯ ได้ทำการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังเพื่อลดการสูญเสียชีวิต เป็นต้นว่า ได้วิเคราะห์พบว่ารถฮัมวี่ที่มีท้องเรียบขนานไปกับพื้นถนน ไม่สามารถทนทานต่อแรงระเบิดได้ จากนั้นกองทัพสหรัฐฯ ได้ปรับปรุงรถบรรทุกขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังได้เสริมเกราะเพิ่มเติมให้แก่รถบรรทุกที่มีอยู่แล้วเพื่อให้ทนทานต่อแรงระเบิดและการยิงมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น บางส่วนได้เปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกแบบสามารถคุ้มครองจากทุ่นระเบิดและการโจมตี (Mine-Resistant Ambush-Protected vehicles - MRAP) ที่มีเกราะหนากว่าและท้องรถยนต์เป็นรูปตัว V ทำให้สามารถทนทานต่อแรงระเบิดมากกว่ารถยนต์แบบฮัมวี่เป็นอย่างมาก ดังนั้น แทนที่จะเน้นสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ที่มีราคาแพงเหมือนกับกองทัพของบางประเทศ กองทัพสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับการสั่งซื้อรถยนต์แบบ MRAP เป็นจำนวนมากมายถึง 15,000 คัน มูลค่า 22,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 800,000 ล้านบาท หรือคันละประมาณ 50 ล้านบาท
กองทัพสหรัฐฯ กำหนดให้โรงงานรีบเร่งผลิตรถยนต์ MRAP ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ และบางส่วนได้ขนส่งโดยเร่งด่วนทางเครื่องบินไปยังอิรัก ทั้งนี้ นับถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ได้ส่งไปยังอิรักแล้วเป็นจำนวนมากกว่า 10,000 คัน ทำให้ในระยะหลังสามารถลดการสูญเสียกำลังพลลงไปได้มาก
สำหรับในประวัติศาสตร์ มีสงครามจำนวนมากมายที่ตัดสินการแพ้ชนะโดยปัจจัยในด้าน
ลอจิสติกส์ เป็นต้นว่า สงครามระหว่างกองทัพของพระเจ้านโปเลียนมหาราชของฝรั่งเศสและกองทัพรัสเซียเมื่อปี 2355 พระเจ้านโปเลียนมหาราชได้จัดเตรียมไพร่พลมากถึง 600,000 คน เพื่อต่อสู้กับกองทัพรัสเซียซึ่งมีกำลังพลน้อยกว่า คือ 488,000 คน รวมถึงได้วางแผนในด้านลอจิสติกส์โดยใช้ระบบคลังสรรพาวุธที่จัดส่งเสบียง เช่น ขนมปังกรอบ แป้งสาลี ข้าวโอ๊ต ฯลฯ ไปล่วงหน้า เพื่อรอทหารที่จะเดินทางไปถึงในภายหลัง
แต่กองทัพนโปเลียนกลับเผชิญปัญหาในด้านลอจิสติกส์อย่างคาดไม่ถึง โดยถนนหนทางของรัสเซียยังด้อยพัฒนา ทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักกองเกวียนที่ใช้ขนส่งยุทธปัจจัยจำนวนมากมายมหาศาลโดยหน่วยส่งกำลังบำรุงได้ นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับภูมิอากาศหิมะตกหนัก ทำให้ไม่สามารถหาหญ้าแห้งมาเลี้ยงม้าที่ใช้ในการขนส่ง จึงส่งผลทำให้ม้าที่ใช้ในการขนส่งต้องอดอยาก และล้มตายเป็นจำนวนมาก
แม้ว่ากองทัพนโปเลียนจะสามารถบุกยึดกรุงมอสโคซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัสเซียได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากขาดแคลนเสบียงอาหาร ทำให้ทหารประสบกับความอดอยากหิวโหย ขาดขวัญกำลังใจ และเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จึงพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ สูญเสียกำลังพลไปเกือบทั้งหมดในสงครามครั้งนั้น
สำหรับสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีบุกรัสเซียเมื่อปี 2484 ใช้กำลังทหารมากมายถึง 3 ล้านคน ในช่วงแรกสามารถรุกคืบหน้าได้อย่างรวดเร็ว และทำลายกองทัพของรัสเซียได้เป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุดกลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ โดยสาเหตุสำคัญ คือ ด้านลอจิสติกส์ กล่าวคือ ยิ่งกองทัพเยอรมนีถลำลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งยุ่งยากในการส่งกำลังบำรุงมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากถนนในรัสเซียเป็นแบบลาดยางที่สามารถใช้ได้ทุกฤดูกาลเพียงแค่ 65,000 กิโลเมตร ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงมีฝนตกในรัสเซีย ทำให้ถนนมีสภาพเป็นโคลนตม ทำให้ยากในการขนส่งทางถนน
แม้สถานการณ์ในด้านลอจิสติกส์เริ่มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเริ่มฤดูหนาว ทำให้พื้นดินแข็งแรงพอสำหรับรองรับรถบรรทุกสำหรับการขนส่งทางถนน แต่ก็สายไปแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ระบบลอจิสติกส์ของเยอรมนีไม่สามารถขนส่งเสื้อกันหนาวให้กับทหารที่อยู่แนวหน้าได้ ทำให้ทหารเยอรมนีต้องเผชิญกับฤดูหนาวอันหฤโหดของรัสเซีย ซึ่งบางครั้งอุณหภูมิลดต่ำลงถึง -25 ถึง -30 องศาเซลเซียส ส่งผลทำให้กองทัพทหารเยอรมนีที่ประชิดกรุงมอสโคต้องสูญเสียกำลังพลจากอากาศอันหนาวเหน็บเป็นจำนวนมากถึง 5 เท่า ของกำลังพลที่เสียชีวิตจากการรบ
สำหรับในสงครามเกาหลี ในช่วงแรกกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนต้องประสบปัญหาอย่างมากในด้านลอจิสติกส์ โดยยิ่งบุกลึกห่างจากพรมแดนจีนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งประสบปัญหามากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากการขนส่งยุทธปัจจัยต้องเผชิญกับการทิ้งระเบิดของเครื่องบินพันธมิตร โดยในช่วง 7 เดือนแรกของสงคราม รถบรรทุกของจีนถูกทำลายจากเครื่องบินสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากกว่า 3,000 คัน
ปัญหาสำคัญของกองทัพจีนไม่ใช่ความเข้มแข็งของทหารสหรัฐฯ แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับสามารถรุกโจมตีได้อย่างเข้มแข็งจนประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ปัญหาที่จีนต้องเผชิญคือ ปัญหาทางด้านลอจิสติกส์ที่ทำให้ไม่สามารถเผด็จศึกเอาชนะทหารสหรัฐฯ ได้ บางครั้งเมื่อยึดพื้นที่ได้แล้ว ต้องถอนทหารกลับมา เนื่องจากมีปัญหาไม่สามารถส่งยุทธปัจจัยให้กับทหารในแนวหน้า ถึงกับมีการกล่าวกันว่าปัญหาสำคัญที่สุดของกองทัพจีนในช่วงนั้นมี 4 ประการ คือ ทหารไม่มีอาหารรับประทาน ทหารไม่มีกระสุนสำหรับยิง ทหารไม่มีเสื้อกันหนาว และเมื่อทหารได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถส่งกลับไปยังแนวหลังเพื่อรักษาพยาบาลได้
จากปัญหาข้างต้น ในบรรดาทหารจีนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ประมาณ 400,000 คน มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 ที่เสียชีวิตจากการสู้รบ ส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 ต้องล้มตายโดยไม่เกี่ยวกับการสู้รบแต่อย่างใด ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความอดอยากเนื่องจากการขาดแคลนอาหาร หรือมิฉะนั้นก็หนาวตายเนื่องจากขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม เนื่องจากในประเทศเกาหลี ช่วงฤดูหนาวมีอุณหภูมิลดต่ำลงถึง -30 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น กองทัพจีนได้ก่อตั้งกองบัญชาการหน่วยส่งกำลังบำรุงขึ้น พร้อมกับแต่งตั้งให้นายพัน Hong Xuezhi ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการหน่วยส่งกำลังบำรุง ซึ่งสร้างความไม่พอใจกับตัวเขาเป็นอย่างมาก โดยเขาต้องการเป็นผู้บัญชาการทหารที่สู้รบอยู่ในแนวหน้า และดูหมิ่นดูแคลนภารกิจเกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุงว่าเป็นงานหลังฉากที่ไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศเนื่องจากทำงานอยู่แนวหลัง แต่ก็ได้ยอมรับตำแหน่งนี้ โดยมีข้อแม้ว่าภายหลังสงคราม จะต้องย้ายออกจากหน่วยงานส่งกำลังบำรุงนี้
ภายหลังรับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยส่งกำลังบำรุง เขาได้ดำเนินยุทธวิธีแบบใหม่ๆ เป็นต้นว่า
ประการแรก เร่งก่อสร้างเส้นทางลอจิสติกส์ที่สามารถป้องกันการทิ้งระเบิดของข้าศึก ประกอบด้วยเครือข่ายอุโมงค์ 200 กิโลเมตร เส้นทางที่อยู่ในรูปคูและสนามเพาะอีก 650 กิโลเมตร รวมถึงก่อสร้างคลังอาวุธและยุทธปัจจัยใต้ดิน โดยเฉพาะบริเวณเหมืองแร่เก่าที่สามารถพัฒนาขึ้นได้ง่าย
ประการที่สอง เน้นการขนส่งในเวลากลางคืนเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจพบของข้าศึก โดยช่วงกลางวัน ทหารและรถบรรทุกจะหลบอยู่ในอุโมงค์หรือสนามเพาะ
ประการที่สาม ระดมกำลังทหารช่างและมวลชนจำนวนมากหลายแสนคน ทำหน้าที่ดูแลและซ่อมแซมเส้นทางส่งกำลังบำรุง ทั้งถนน สะพาน ทางรถไฟ ให้สามารถกลับมาใช้ขนส่งได้อย่างรวดเร็ว ภายหลังการโจมตีทิ้งระเบิดของข้าศึก
จึงทำให้สถานการณ์การสู้รบของจีนปรับตัวดีขึ้นนับตั้งแต่กลางปี 2495 เป็นต้นมา ปัญหาในด้านลอจิสติกส์สามารถแก้ไขได้เป็นผลสำเร็จ โดยนักประวัติศาสตร์ทางการทหารได้กล่าวว่าความสำเร็จของหน่วยลอจิสติกส์แห่งนี้มีบทบาทสูงทำให้กองทัพสัมพันธมิตรไม่สามารถเผด็จศึกในสงครามครั้งนี้ได้ ต้องมาขอเจรจาสงบศึก
กรณีของประเทศไทย ปัญหาทางด้านลอจิสติกส์ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะสงครามในหลายต่อหลายครั้ง เป็นต้นว่า เมื่อครั้งสงคราม 9 ทัพในสมัยรัชกาลที่ 1 พระเจ้าปดุงของพม่า ได้จัดกำลังพล 9 ทัพ ประกอบด้วยกำลังพล 144,000 คน ยกกองทัพมาพร้อมกัน 5 เส้นทาง เมื่อปี 2328 เพื่อมาตีประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นเพิ่งก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เพียงแค่ 3 ปี และฝ่ายไทยมีกำลังน้อยกว่าคือ มีเพียง 70,000 คน
ทั้งนี้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลได้เน้นโจมตีจุดอ่อนสำคัญของฝ่ายพม่า คือ ด้านลอจิสติกส์ โดยทัพไทยไปตั้งค่ายดักพม่าอยู่ที่ชายแดนบริเวณทุ่งลาดหญ้าหน้าด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นช่องเขา เปรียบเสมือนเป็นตรอก ทำให้กองทัพพม่าไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ต้องหยุดตั้งค่ายอยู่บริเวณชายทุ่งลาดหญ้า ส่วนกองทัพหนุนของพม่าต้องหยุดตั้งค่ายเรียงรายกันอยู่ในช่องเขาบรรทัด ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่ทุรกันดาร การคมนาคมขนส่งไม่สะดวก เนื่องจากต้องขนส่งเสบียงอาหารจากดินแดนพม่าข้ามภูเขาและป่าทึบ ทำให้ถูกซุ่มโจมตีเพื่อชิงเสบียงระหว่างทางได้ง่าย
จากนั้นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าขุนเณรเป็นนายทัพกองโจร คุมทหารจำนวน 1,500 คน ไปคอยตีสกัดเสบียงพม่า ทำให้กองทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้าอ่อนกำลังลงเพราะขาดเสบียงอาหาร และเมื่อข้าศึกอ่อนกำลังลงมากแล้ว ฝ่ายไทยจึงเข้าโจมตี ทำให้สามารถเผด็จศึกและได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th