ความล้มเหลวของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และคณะรัฐบาลที่ไม่สามารถบริหารจัดการความแร้นแค้นของประชาชน และการตัดสินพระทัยผิดอย่างมหันต์ที่ทรงส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะที่ประชาชนอดอยาก ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และเป็นสงครามที่ไร้เหตุผลเพราะแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ในยุโรปรวมทั้งการล่าและควบคุมประเทศอาณานิคม
ขณะที่เหตุการณ์วิกฤตทางการเมืองในรัสเซียก่อตัวตั้งแต่วันอาทิตย์เลือดของมกราคม ค.ศ. 1905 และพัฒนาอย่างช้าๆ แต่มีระบบ เพราะมีการเคลื่อนไหวในกลุ่มเสรีชน นักวิชาการ นายทุนชนชั้นกลาง กลุ่มหัวหน้าแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม และแกนนำชุมชนในชนบท แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ละเลยมิได้ใส่พระทัยกับคำแนะนำของเซอร์ จอร์จ บูคานัน (Sir George Buchanan) เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำรัสเซีย
เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 ที่ทูลให้พระองค์ทรงขจัดกำแพงกั้นของพระราชอำนาจ และกฎมณเฑียรบาลบางกฎที่แบ่งแยกพระองค์กับประชาชน และหากทรงปฏิบัติขจัดช่องว่างเหล่านี้ และฟังเสียงประชาชนอย่างจริงจัง จริงพระทัยและบริสุทธิ์พระทัยแล้ว พระองค์ก็จะสามารถเรียกแรงศรัทธา และความเชื่อมั่นกลับมาสู่พระองค์ แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงปฏิเสธคำทูลเสนอแนะของเซอร์ จอร์จ บูคานัน อย่างสิ้นเชิง พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ไม่เคยทรงออกเยี่ยมประชาชนในชนบทต่างๆ จังหวัดไกลๆ เลย ซึ่งต่างกับการเสด็จประพาสต้นของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และการเสด็จเยี่ยมราษฎรของพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันที่ทรงไม่เคยทอดทิ้งพสกนิกรของพระองค์เลยเป็นเวลา 60 ปี แห่งการครองราชย์ด้วยกฎการเป็นพระเจ้าแห่งธรรม ด้วยความเป็นกลาง ด้วยพระเมตตา และพระปัญญาในการช่วยเหลือประชาราษฎรให้มีกินมีใช้อย่างพอเพียง ไม่ทรงให้ประชาชนของพระองค์เป็นพวกวัตถุนิยมเพราะพระองค์ไม่เป็น แต่มีความมัธยัสถ์ ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือยอันเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์
ขบวนการปฏิวัติประชาชนของเลนินนั้น ใช้เวลา 12 ปี ด้วยสาเหตุหลักคือ ข้าวยากหมากแพงที่รัฐบาลพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ไม่สามารถแก้ไขได้ และความวุ่นวายในราชสำนัก โดยเฉพาะเรื่องข่าวลือกรณีรัสปูตินที่มีอิทธิพลมากในราชสำนักและการใช้ตำรวจลับออกกดดันประชาชน
ในระยะต้น เลนินต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ฟินแลนด์ หลังจากเกิดการจลาจล และพลพรรคบอลเชวิคถูกปราบปรามอย่างหนักและรุนแรงจนต้องยอมแพ้ต่อรัฐบาลเฉพาะกาล หรือรัสเซียขาว แต่เลนินได้ดำเนินการปลุกระดม และเขียนหนังสือเรื่องรัฐและการปฏิวัติ (State And Revolution) รวมทั้งการใช้สื่อต่างๆ ปลุกเร้าประชาชนอย่างต่อเนื่อง จนถึงตุลาคมเลือด ค.ศ. 1917 เมื่อเลนินกลับคืนมาตุภูมิ และเป็นผู้นำพรรคบอลเชวิคปฏิวัติเกิดเป็นสงครามประชาชน แต่เลนินได้รับการสนับสนุนจากเนสเตอร์ แมกคาโน (Nestor Makhano) เจ้าอนาธิปไตยแห่งรัฐยูเครนเป็นผู้นำกองทัพเสื้อดำ
ขณะที่หน่วยพิทักษ์ปฏิวัติหรือ Red Guards กำลังจะพ่ายแพ้ต่อกองทัพรัสเซียขาว และเมื่อมีชัยต่อกองทัพรัสเซียขาวแล้ว เลนินต้องการรวมกองทัพแดง-ดำแต่กองทัพเสื้อดำปฏิเสธที่จะรวมตัวเข้ากับกองทัพเสื้อแดง กองทัพเสื้อแดงนำโดย มิเกล ฟรันเซ (Mikhail Frunze) ก็ยกทัพเข้าทำลายกองทัพเสื้อดำ และต่อมาเกิดกองทัพเสื้อเขียวขึ้นมาอีกในรัฐยูเครน เพื่อปกป้องทรัพย์สินและที่ดินของตัวเอง กองทัพแดงใช้เวลานานพอสมควรก่อนที่จะปราบปรามสำเร็จ
ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 ยาคอฟ ซเวิร์ดลอฟ (Yakov Sverdlov) แกนนำอนาธิปไตยนำคำสั่งของเลนินไปปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พร้อมด้วยพระราชวงศ์และนางสนองพระโอษฐ์
ในชั้นต้นนี้เราจะเห็นว่า สงครามปฏิวัตินั้นมีความซับซ้อนมากมายนัก มีการหักหลังกัน มีการทรยศกัน และมีการรวมตัวกันเพื่อประชาชนร่วมกัน มีการใช้ความทารุณ ความเหี้ยมโหดในการขจัดฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะหน่วยงานเชคคา (Chedka) ซึ่งจะเห็นได้จากความเหมือนในภาพเหตุการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับมอบหมายมุ่งร้ายทุบตี รปภ.ซึ่งคนเสื้อแดงละเมิดความเป็นมนุษย์ของเขาด้วยใส่กุญแจมือและนำไปประจานต่อหน้าเวทีชุมนุม ทำร้ายคนขับรถและทุบรถยนต์ของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีอย่างไร้ความปรานี
หากว่าแผนการร้ายของหน่วยล่าสังหารของพวกเสื้อแดงจับตัวนายกรัฐมนตรีได้ตามแผนแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ส่วนประชาชนชาวไทย และชาวโลกคงจะได้เป็นพยานพฤติกรรมลัทธิก่อการร้ายที่ขู่บังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกต่อหน้าคนเสื้อแดง และพวกเขาจะใช้เป็นหลักฐานว่าเป็นไปตามความสมัครใจของนายกรัฐมนตรีที่ลาออกเอง แล้วกลุ่มนักล่าสังหารก็จะข่มขู่พร้อมทั้งประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาลให้แปรพักตร์แล้วสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่จากพรรคเพื่อไทยได้ทันที
วาระสำคัญของรัฐบาลใหม่ภายใต้การปลุกระดมของทักษิณ ชินวัตร ก็คือการแก้รัฐธรรมนูญชนิดยกเครื่องทุกมาตรา โดยเฉพาะมาตราเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งนายเหวง โตจิราการ นายใจ อึ๊งภากรณ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข ดำเนินการต่อต้านและเคลื่อนไหวให้แก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตลอด และให้มีการลดพระราชอำนาจเกี่ยวกับการตรากฎหมายและอื่นๆ
ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าประเทศไทยในฐานะคนบริสุทธิ์ แล้วรับตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แต่แท้จริงเป็นตัวกำกับดูแล และใช้อำนาจรัฐอย่างเต็มที่ และหากเกิดการต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลัทธิหฤโหดที่จะกระทำการข่มขู่ ทำร้ายจนถึงขั้นฆ่าทิ้งโดยกลุ่มล่าสังหารที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำรงรักษาสถานภาพของทักษิณ ชินวัตร และกำราบฝ่ายตรงข้ามทุกกลุ่มมิให้ฮึกเหิม ขณะที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยก็สามารถดำเนินการทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงดูว่าการปกครองของไทยเป็นประชาธิปไตยต่อสายตาชาวโลก
ดังนั้น จากจินตยุทธ์นี้ก็สอดคล้องกับแนวคิด และการวิเคราะห์วิธีคิดของทักษิณ ชินวัตร โดยพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ที่ได้เขียนบทความเรื่องสงครามอนารยชนของทักษิณ ชินวัตร
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศอย่างถอนรากถอนโคนนั้น ไม่ได้เกิดง่ายๆ ในเมืองไทย เพราะแค่คนเสื้อแดงมีท่าทีหฤโหดและขู่กรรโชกชุมชน 3 ชุมชนในกรุงเทพมหานคร ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง และพัฒนาความรุนแรงได้ และจะเป็นความเลวร้ายหฤโหดในประวัติศาสตร์ไทยซึ่งทักษิณ ชินวัตรไม่รับผิดชอบอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยา กระทรวงมหาดไทย ชุมชนดินแดง มัสยิดดารุ้ลลอะมาน เพชรบุรีซอย 7 และชุมชนนางเลิ้ง
ความเหี้ยมโหดสมุนเสื้อแดงของทักษิณ ชินวัตร กระทำการรุนแรง แต่ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยพูดถึง ไม่เคยกล่าวขอโทษ ไม่เคยแสดงความเมตตาต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และพฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรม xyy Chromosome หรือ Criminal Chromosome หรือสายพันธุ์อาชญากรโหด
แพทย์ย่อมรู้ดีว่าบรรดาอาชญากรจะมีสายพันธุ์ xyy ซึ่งบ่งบอกถึงความโหดเหี้ยม โดยในปี 1968 มีการทดสอบอาชญากรในคุกทั่วสกอตแลนด์มีข้อยุติจากประชากรคุกที่ทดสอบนั้น จะมี XYY Chromosomeมีพฤติกรรมเหมือนกัน ก่อคดีคล้ายกัน และมีความถี่ในการก่ออาชญากรรมใกล้เคียงกัน และมีสติปัญญาใกล้เคียงกัน เรื่องนี้ดร.ลิปป์แมน (Lippman) มีส่วนในการค้นคว้า
การสรรหากลุ่มชนพวกนี้กระทำไม่ยาก โดยเฉพาะทักษิณ ชินวัตร มีดีกรีดุษฎีบัณฑิตเรื่องอาชญวิทยา และรู้ว่าจะสรรหาที่ไหน โดยเฉพาะตำรวจจะมีประวัติกลุ่มคนพวกนี้ และพร้อมที่จะออกมาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แดง และหน่วยไล่ล่าหรือเชคคา โดยลองคำนวณตัวเลขทุกโรงพักทั่วประเทศ จะพบว่ามีพวก xyy Criminal Chromosome นับเป็นพันๆ คน หมื่นๆ คน พร้อมที่จะออกปฏิบัติการหากมีเงินจ้างและมีคำสั่ง
ในทางตรงข้ามกองทัพไทยภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าหน่วยที่เข้าใจกฎการใช้กำลังการรักษาสันติภาพ ซึ่งมีคำนิยามว่า “แนวทางในการใช้กำลัง ซึ่งผู้บังคับบัญชากำหนดขึ้น (ในที่นี้คือนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง) เพื่อจำแนกถึงสถานการณ์ และข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังนั้น ในขณะเดียวกัน กฎการใช้กำลังเป็นเครื่องมือที่ผู้บังคับบัญชา (รัฐบาล) ใช้ในการควบคุมการใช้กำลังของผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น”
องค์ประกอบสำคัญของการใช้กำลังได้แก่ นโยบาย กฎหมาย และภารกิจซึ่งอยู่ในรูปแบบของการใช้กำลังป้องกันตัวเอง และการใช้กำลังเพื่อบรรลุภารกิจก็คือการรักษาความเป็นชาติ ความสงบเรียบร้อย และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในขอบเขตของการป้องกันตัวเองนั้น คือ ภายใต้ความจำเป็นและต้องมีความเป็นสัดส่วน ซึ่งหมายความว่า อัตราส่วนต้องพอเพียงไม่มากไม่น้อย หรือดูมีการใช้กำลังมากเกินความจำเป็น
ความจำเป็นในการใช้กำลังคือ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และเจตนาอันเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งการใช้กำลังของผู้บังคับหน่วยจะต้องปรึกษากับนายทหารพระธรรมนูญ และต้องให้มีการอบรมเรื่องกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
ตามนัยสรุปได้ดังนี้ว่า ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการใช้กำลังทหาร การเคลื่อนกำลังทหาร และการเตรียมพร้อม พ.ศ. 2545 ข้อ 17 กล่าวว่า การใช้กำลังทหารหรือใช้อาวุธตามข้อบังคับนี้ให้ผู้บังคับบัญชาของทหารกำหนดกฎการใช้กำลังหรือแนวทางการใช้อาวุธให้สอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศ
และผู้บังคับหน่วยทหารปัจจุบันเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีต เพราะว่าคนที่รับกรรมจากเสียงสะท้อนของประชาชนที่ต่อต้านการใช้กำลังของทหารก็คือทหารจนคุ้นเคยกับแรงกดดันจากประชาชนอยู่ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา จึงขอให้ประชาชนได้รับรู้ว่า การใช้กำลังของทหารระหว่าง 12-14 เมษายนที่ผ่านมาและในอนาคตนั้นทหารมีหลักการ มีความรู้ และใช้หลักเมตตาธรรมเป็นธงนำ
nidd.riddhagni@gmail.com
ขณะที่เหตุการณ์วิกฤตทางการเมืองในรัสเซียก่อตัวตั้งแต่วันอาทิตย์เลือดของมกราคม ค.ศ. 1905 และพัฒนาอย่างช้าๆ แต่มีระบบ เพราะมีการเคลื่อนไหวในกลุ่มเสรีชน นักวิชาการ นายทุนชนชั้นกลาง กลุ่มหัวหน้าแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม และแกนนำชุมชนในชนบท แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ละเลยมิได้ใส่พระทัยกับคำแนะนำของเซอร์ จอร์จ บูคานัน (Sir George Buchanan) เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำรัสเซีย
เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 ที่ทูลให้พระองค์ทรงขจัดกำแพงกั้นของพระราชอำนาจ และกฎมณเฑียรบาลบางกฎที่แบ่งแยกพระองค์กับประชาชน และหากทรงปฏิบัติขจัดช่องว่างเหล่านี้ และฟังเสียงประชาชนอย่างจริงจัง จริงพระทัยและบริสุทธิ์พระทัยแล้ว พระองค์ก็จะสามารถเรียกแรงศรัทธา และความเชื่อมั่นกลับมาสู่พระองค์ แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงปฏิเสธคำทูลเสนอแนะของเซอร์ จอร์จ บูคานัน อย่างสิ้นเชิง พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ไม่เคยทรงออกเยี่ยมประชาชนในชนบทต่างๆ จังหวัดไกลๆ เลย ซึ่งต่างกับการเสด็จประพาสต้นของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และการเสด็จเยี่ยมราษฎรของพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันที่ทรงไม่เคยทอดทิ้งพสกนิกรของพระองค์เลยเป็นเวลา 60 ปี แห่งการครองราชย์ด้วยกฎการเป็นพระเจ้าแห่งธรรม ด้วยความเป็นกลาง ด้วยพระเมตตา และพระปัญญาในการช่วยเหลือประชาราษฎรให้มีกินมีใช้อย่างพอเพียง ไม่ทรงให้ประชาชนของพระองค์เป็นพวกวัตถุนิยมเพราะพระองค์ไม่เป็น แต่มีความมัธยัสถ์ ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือยอันเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์
ขบวนการปฏิวัติประชาชนของเลนินนั้น ใช้เวลา 12 ปี ด้วยสาเหตุหลักคือ ข้าวยากหมากแพงที่รัฐบาลพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ไม่สามารถแก้ไขได้ และความวุ่นวายในราชสำนัก โดยเฉพาะเรื่องข่าวลือกรณีรัสปูตินที่มีอิทธิพลมากในราชสำนักและการใช้ตำรวจลับออกกดดันประชาชน
ในระยะต้น เลนินต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ฟินแลนด์ หลังจากเกิดการจลาจล และพลพรรคบอลเชวิคถูกปราบปรามอย่างหนักและรุนแรงจนต้องยอมแพ้ต่อรัฐบาลเฉพาะกาล หรือรัสเซียขาว แต่เลนินได้ดำเนินการปลุกระดม และเขียนหนังสือเรื่องรัฐและการปฏิวัติ (State And Revolution) รวมทั้งการใช้สื่อต่างๆ ปลุกเร้าประชาชนอย่างต่อเนื่อง จนถึงตุลาคมเลือด ค.ศ. 1917 เมื่อเลนินกลับคืนมาตุภูมิ และเป็นผู้นำพรรคบอลเชวิคปฏิวัติเกิดเป็นสงครามประชาชน แต่เลนินได้รับการสนับสนุนจากเนสเตอร์ แมกคาโน (Nestor Makhano) เจ้าอนาธิปไตยแห่งรัฐยูเครนเป็นผู้นำกองทัพเสื้อดำ
ขณะที่หน่วยพิทักษ์ปฏิวัติหรือ Red Guards กำลังจะพ่ายแพ้ต่อกองทัพรัสเซียขาว และเมื่อมีชัยต่อกองทัพรัสเซียขาวแล้ว เลนินต้องการรวมกองทัพแดง-ดำแต่กองทัพเสื้อดำปฏิเสธที่จะรวมตัวเข้ากับกองทัพเสื้อแดง กองทัพเสื้อแดงนำโดย มิเกล ฟรันเซ (Mikhail Frunze) ก็ยกทัพเข้าทำลายกองทัพเสื้อดำ และต่อมาเกิดกองทัพเสื้อเขียวขึ้นมาอีกในรัฐยูเครน เพื่อปกป้องทรัพย์สินและที่ดินของตัวเอง กองทัพแดงใช้เวลานานพอสมควรก่อนที่จะปราบปรามสำเร็จ
ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 ยาคอฟ ซเวิร์ดลอฟ (Yakov Sverdlov) แกนนำอนาธิปไตยนำคำสั่งของเลนินไปปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พร้อมด้วยพระราชวงศ์และนางสนองพระโอษฐ์
ในชั้นต้นนี้เราจะเห็นว่า สงครามปฏิวัตินั้นมีความซับซ้อนมากมายนัก มีการหักหลังกัน มีการทรยศกัน และมีการรวมตัวกันเพื่อประชาชนร่วมกัน มีการใช้ความทารุณ ความเหี้ยมโหดในการขจัดฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะหน่วยงานเชคคา (Chedka) ซึ่งจะเห็นได้จากความเหมือนในภาพเหตุการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับมอบหมายมุ่งร้ายทุบตี รปภ.ซึ่งคนเสื้อแดงละเมิดความเป็นมนุษย์ของเขาด้วยใส่กุญแจมือและนำไปประจานต่อหน้าเวทีชุมนุม ทำร้ายคนขับรถและทุบรถยนต์ของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีอย่างไร้ความปรานี
หากว่าแผนการร้ายของหน่วยล่าสังหารของพวกเสื้อแดงจับตัวนายกรัฐมนตรีได้ตามแผนแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ส่วนประชาชนชาวไทย และชาวโลกคงจะได้เป็นพยานพฤติกรรมลัทธิก่อการร้ายที่ขู่บังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกต่อหน้าคนเสื้อแดง และพวกเขาจะใช้เป็นหลักฐานว่าเป็นไปตามความสมัครใจของนายกรัฐมนตรีที่ลาออกเอง แล้วกลุ่มนักล่าสังหารก็จะข่มขู่พร้อมทั้งประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาลให้แปรพักตร์แล้วสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่จากพรรคเพื่อไทยได้ทันที
วาระสำคัญของรัฐบาลใหม่ภายใต้การปลุกระดมของทักษิณ ชินวัตร ก็คือการแก้รัฐธรรมนูญชนิดยกเครื่องทุกมาตรา โดยเฉพาะมาตราเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งนายเหวง โตจิราการ นายใจ อึ๊งภากรณ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข ดำเนินการต่อต้านและเคลื่อนไหวให้แก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตลอด และให้มีการลดพระราชอำนาจเกี่ยวกับการตรากฎหมายและอื่นๆ
ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าประเทศไทยในฐานะคนบริสุทธิ์ แล้วรับตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แต่แท้จริงเป็นตัวกำกับดูแล และใช้อำนาจรัฐอย่างเต็มที่ และหากเกิดการต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลัทธิหฤโหดที่จะกระทำการข่มขู่ ทำร้ายจนถึงขั้นฆ่าทิ้งโดยกลุ่มล่าสังหารที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำรงรักษาสถานภาพของทักษิณ ชินวัตร และกำราบฝ่ายตรงข้ามทุกกลุ่มมิให้ฮึกเหิม ขณะที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยก็สามารถดำเนินการทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงดูว่าการปกครองของไทยเป็นประชาธิปไตยต่อสายตาชาวโลก
ดังนั้น จากจินตยุทธ์นี้ก็สอดคล้องกับแนวคิด และการวิเคราะห์วิธีคิดของทักษิณ ชินวัตร โดยพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ที่ได้เขียนบทความเรื่องสงครามอนารยชนของทักษิณ ชินวัตร
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศอย่างถอนรากถอนโคนนั้น ไม่ได้เกิดง่ายๆ ในเมืองไทย เพราะแค่คนเสื้อแดงมีท่าทีหฤโหดและขู่กรรโชกชุมชน 3 ชุมชนในกรุงเทพมหานคร ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง และพัฒนาความรุนแรงได้ และจะเป็นความเลวร้ายหฤโหดในประวัติศาสตร์ไทยซึ่งทักษิณ ชินวัตรไม่รับผิดชอบอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยา กระทรวงมหาดไทย ชุมชนดินแดง มัสยิดดารุ้ลลอะมาน เพชรบุรีซอย 7 และชุมชนนางเลิ้ง
ความเหี้ยมโหดสมุนเสื้อแดงของทักษิณ ชินวัตร กระทำการรุนแรง แต่ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยพูดถึง ไม่เคยกล่าวขอโทษ ไม่เคยแสดงความเมตตาต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และพฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรม xyy Chromosome หรือ Criminal Chromosome หรือสายพันธุ์อาชญากรโหด
แพทย์ย่อมรู้ดีว่าบรรดาอาชญากรจะมีสายพันธุ์ xyy ซึ่งบ่งบอกถึงความโหดเหี้ยม โดยในปี 1968 มีการทดสอบอาชญากรในคุกทั่วสกอตแลนด์มีข้อยุติจากประชากรคุกที่ทดสอบนั้น จะมี XYY Chromosomeมีพฤติกรรมเหมือนกัน ก่อคดีคล้ายกัน และมีความถี่ในการก่ออาชญากรรมใกล้เคียงกัน และมีสติปัญญาใกล้เคียงกัน เรื่องนี้ดร.ลิปป์แมน (Lippman) มีส่วนในการค้นคว้า
การสรรหากลุ่มชนพวกนี้กระทำไม่ยาก โดยเฉพาะทักษิณ ชินวัตร มีดีกรีดุษฎีบัณฑิตเรื่องอาชญวิทยา และรู้ว่าจะสรรหาที่ไหน โดยเฉพาะตำรวจจะมีประวัติกลุ่มคนพวกนี้ และพร้อมที่จะออกมาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แดง และหน่วยไล่ล่าหรือเชคคา โดยลองคำนวณตัวเลขทุกโรงพักทั่วประเทศ จะพบว่ามีพวก xyy Criminal Chromosome นับเป็นพันๆ คน หมื่นๆ คน พร้อมที่จะออกปฏิบัติการหากมีเงินจ้างและมีคำสั่ง
ในทางตรงข้ามกองทัพไทยภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าหน่วยที่เข้าใจกฎการใช้กำลังการรักษาสันติภาพ ซึ่งมีคำนิยามว่า “แนวทางในการใช้กำลัง ซึ่งผู้บังคับบัญชากำหนดขึ้น (ในที่นี้คือนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง) เพื่อจำแนกถึงสถานการณ์ และข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังนั้น ในขณะเดียวกัน กฎการใช้กำลังเป็นเครื่องมือที่ผู้บังคับบัญชา (รัฐบาล) ใช้ในการควบคุมการใช้กำลังของผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น”
องค์ประกอบสำคัญของการใช้กำลังได้แก่ นโยบาย กฎหมาย และภารกิจซึ่งอยู่ในรูปแบบของการใช้กำลังป้องกันตัวเอง และการใช้กำลังเพื่อบรรลุภารกิจก็คือการรักษาความเป็นชาติ ความสงบเรียบร้อย และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในขอบเขตของการป้องกันตัวเองนั้น คือ ภายใต้ความจำเป็นและต้องมีความเป็นสัดส่วน ซึ่งหมายความว่า อัตราส่วนต้องพอเพียงไม่มากไม่น้อย หรือดูมีการใช้กำลังมากเกินความจำเป็น
ความจำเป็นในการใช้กำลังคือ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และเจตนาอันเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งการใช้กำลังของผู้บังคับหน่วยจะต้องปรึกษากับนายทหารพระธรรมนูญ และต้องให้มีการอบรมเรื่องกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
ตามนัยสรุปได้ดังนี้ว่า ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการใช้กำลังทหาร การเคลื่อนกำลังทหาร และการเตรียมพร้อม พ.ศ. 2545 ข้อ 17 กล่าวว่า การใช้กำลังทหารหรือใช้อาวุธตามข้อบังคับนี้ให้ผู้บังคับบัญชาของทหารกำหนดกฎการใช้กำลังหรือแนวทางการใช้อาวุธให้สอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศ
และผู้บังคับหน่วยทหารปัจจุบันเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีต เพราะว่าคนที่รับกรรมจากเสียงสะท้อนของประชาชนที่ต่อต้านการใช้กำลังของทหารก็คือทหารจนคุ้นเคยกับแรงกดดันจากประชาชนอยู่ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา จึงขอให้ประชาชนได้รับรู้ว่า การใช้กำลังของทหารระหว่าง 12-14 เมษายนที่ผ่านมาและในอนาคตนั้นทหารมีหลักการ มีความรู้ และใช้หลักเมตตาธรรมเป็นธงนำ
nidd.riddhagni@gmail.com