xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์สามก๊กการเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

หลังจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำเสนอแนวคิดการเมืองเรื่องของสี ทางเอเอสทีวีแล้ว ก็มีการกล่าวขวัญกันถึงเรื่องการเมืองไทยในสถานการณ์ปัจจุบันว่าได้แบ่งออกเป็นสามก๊กชัดเจนแล้ว

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พูดถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่าเป็นกลุ่มสีเหลือง เพราะได้ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวตลอดมา ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้สัญลักษณ์สีฟ้า และพรรคภูมิใจไทยใช้สัญลักษณ์สีน้ำเงิน

ส่วนอีกก๊กหนึ่งใช้สีแดง ซึ่งมีทั้งพรรคการเมืองและกลุ่มพลังมวลชนคนเสื้อแดง โดยหัวหน้าก๊กตัวจริงร่อนเร่พเนจรอยู่ในต่างประเทศ

จึงเป็นที่มาของการเมืองไทยที่ถูกกล่าวขวัญว่ากำลังเป็นสามก๊กคือก๊กเหลือง ก๊กแดง และก๊กฟ้าบวกน้ำเงิน และดูไปแล้วสถานการณ์ที่เป็นจริงในขณะนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย

เพราะพรรคการเมืองอื่นที่เหลือนั้นเป็นได้แค่ไม้ประดับ หรือบางทีก็เรียกว่าพรรคกระดาษ หรือ Paper Company ซึ่งเป็นคำที่เลียนมาจากบริษัทกระดาษที่ไม่ได้ดำเนินธุรกรรมหรือธุรกิจกันอย่างจริงๆ จังๆ ตั้งขึ้นเพื่อการเฉพาะกิจ เฉพาะครั้ง เฉพาะคราวเท่านั้น

แต่ทว่าในทางการเมืองนั้นจะว่าพรรคไม้ประดับไร้ราคาค่างวดเสียทีเดียวก็ไม่ได้เพราะบางครั้งก็กลายเป็นตัวแปร เพราะเมื่อใดก็ตามที่เสียงก้ำกึ่งกันเป็นสองฝ่าย กลุ่มไม้ประดับนี่แหละจะกลายเป็นกลุ่มชี้ขาดหรือเป็นผู้ถือดุลทางการเมืองไปก็ได้

ไม่เห็นหรือพรรคกิจสังคมของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งมีแค่ 18 เสียง แต่เมื่อกลายเป็นผู้ถือดุลแล้วก็สามารถเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้

สภาพเช่นนี้แม้จะเรียกว่าเป็นยุคสามก๊กของการเมืองไทย แต่แท้จริงแล้วก็ยังมีปัจจัยประกอบแวดล้อมอื่นๆ อยู่อีกมากทั้งที่มีสีและไม่มีสี จึงเป็นเรื่องที่ดูแคลนไม่ได้


แต่ละก๊กการเมืองไทยต่างก็มีจุดอ่อนจุดแข็งไม่เหมือนกัน และมีเป้าหมายปลายทางไม่เหมือนกัน มีลักษณะที่จะต้องร่วมมือกัน มีลักษณะที่จะต้องขับเคี่ยวล้างผลาญกัน และยังมีปรากฏการณ์ที่มิตรเป็นศัตรู หรือศัตรูมาเป็นมิตรแฝงฝังอยู่ด้วย

สภาพเหล่านี้จึงทำให้การเมืองไทยสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าทุกระยะที่ผ่านมา เพราะแค่การปรากฏตัวของคนสีเหลืองและคนสีแดงสองสี บ้านเมืองก็สับสนปั่นป่วนวุ่นวายเต็มทีแล้ว เมื่อเพิ่มสีน้ำเงินเข้ามาอีกก็คงดูไม่จืดเป็นแน่

ก๊กเหลืองนั้นมีกำลังมวลมหาประชาชนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชูธงพิทักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขขึ้นสูงเด่น ได้ผ่านการต่อสู้สามฤดูอันยาวนานด้วยความเสียสละกล้าหาญ มีพลังมวลมหาชนเข้าร่วมร่วม 20 ล้านคน จึงต้องถือว่าเป็นก๊กหลักก๊กหนึ่งที่ดูแคลนไม่ได้

ก๊กเหลืองชูแนวทางการเมืองใหม่เพื่อจะนำเข้ามาแทนที่การเมืองเก่าที่เน่าเฟะ และไม่เป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้อีกต่อไป แต่กลับไม่มีพรรคการเมืองเป็นของตนที่จะทำหน้าที่เป็นกองหน้าในการปฏิบัติการทางการเมืองในระบอบรัฐสภา

ดังนั้นแม้ก๊กเหลืองจะต่อสู้ด้วยความเสียสละ ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย สักเท่าใดก็ไม่มีทางได้อำนาจรัฐเพราะไม่มีเครื่องมือทางการเมืองในระบอบรัฐสภา

ดังนั้นหากหวังจะได้มาซึ่งอำนาจรัฐเพื่อนำการเมืองใหม่เข้าแทนที่การเมืองน้ำเน่าแบบเก่า ก๊กเหลืองก็ต้องสร้างกลไกสำคัญขึ้นเป็นกองทัพหลักในการช่วงชิงอำนาจรัฐ ไม่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ทั้งสองอย่างต่อไปนี้คือ

ต้องมีพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริงขึ้นมาพรรคหนึ่งเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐในระบอบรัฐสภา หรือไม่ก็ต้องปรับขบวนมวลมหาประชาชนให้เป็นกองกำลังมหาประชาชนที่มีการจัดตั้ง เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐโดยการปฏิวัติประชาชาติที่อาศัยพลังประชาชนเป็นหลัก

ซึ่งถึงวันนี้ก็ไม่รู้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างไร ก็ต้องเฝ้าติดตามดูกันต่อไป แต่โดยสรุปก็คือก๊กเหลืองในวันนี้ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีพรรคการเมือง แต่มีพลังมวลมหาประชาชนที่รอการจัดตั้งเป็นกองกำลังหลัก เพื่อรับมือกับก๊กอื่นๆ ต่อไป

ส่วนก๊กแดงนั้นเคยครองอำนาจรัฐมาก่อน แต่บัดนี้เสียอำนาจรัฐไป มีทั้งพรรคการเมืองเป็นเครื่องมือในการช่วงชิงอำนาจรัฐในระบอบรัฐสภา และมีกองกำลังมวลชนที่มีการจัดตั้งเบื้องต้นแล้ว แม้ว่าจะเป็นการจัดตั้งโดยใช้อามิสเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ก็ถือว่าเป็นการจัดตั้งชนิดหนึ่ง ซึ่งหากขยายตัวเป็นกองกำลังปฏิบัติการทางการเมืองแล้ว ก็มีวิสัยที่จะถูกใช้ไปช่วงชิงอำนาจรัฐโดยการปฏิวัติประชาชาติด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ก๊กแดงกลับมีจุดอ่อนที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีของประชาชนไทย เพราะได้เผยแนวทางการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบสังคมนิยม และมีปฏิบัติการหลายอย่างที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกับการละเมิดสถาบันเบื้องสูง กระทั่งในอดีตก็เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เป็นภัยต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ก๊กแดงมีจุดแข็งตรงที่มีพลังเงินมหาศาล มีเครือข่ายสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีพื้นฐานมวลชนรากหญ้าจำนวนหนึ่งซึ่งดูแคลนไม่ได้

ส่วนก๊กฟ้าบวกน้ำเงินนั้นมีลักษณะพิลึกพิลั่น คือมีลักษณะเป็นเทพอสูร ภาพหนึ่งเป็นเทพ ภาพหนึ่งเป็นอสูร จึงกลายเป็นเทพอสูร

ก๊กนี้ได้ประกาศจุดยืนทางการเมืองเช่นเดียวกับก๊กเหลือง คือมุ่งปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งเหนือกว่าก๊กแดง

แต่ทว่าก๊กฟ้าบวกน้ำเงินนั้นเป็นคนละเนื้อเป็นคนละธาตุที่ผสมกันแบบหยาบๆ คือธาตุเทพผสมกับธาตุอสูร

โดยธาตุเทพมีภาพลักษณ์ที่ดีที่ยึดมั่นในความจงรักภักดีเป็นที่ตั้ง แต่ก็มีความเฉื่อยชาแสวงหาแต่ภาพลักษณ์โดยไม่คำนึงถึงผลที่แท้จริง ในขณะที่ธาตุอสูรมีลักษณะที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงติดตัวมา เป็นสาขาวิญญาณร้ายที่เพิ่งออกจากร่างก๊กแดงเข้ามาแฝงสิงร่วมอยู่กับก๊กฟ้า

ดังนั้นพันธมิตรฯ ฟ้าน้ำเงินจึงมีลักษณะชั่วคราว ไม่มีทางที่จะจีรังยั่งยืนได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะแตกหักแยกตัวกันไปในวันใดเท่านั้น

ก๊กฟ้าไม่มีมวลมหาประชาชนเป็นพื้นฐาน มีแค่ผู้สนับสนุนทางการเมืองที่มีบทบาทแค่การไปหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จึงโดดเดี่ยวเดียวดาย ถูกก๊กแดงล้อมกรอบอยู่เป็นประจำ ในขณะที่ก๊กน้ำเงินมีแผนการที่จะสร้างกลุ่มคนสีน้ำเงินขึ้น โดยจับเอาคนเสื้อแดงเก่ามาถอดเสื้อเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน หวังจะตั้งกองกำลังมวลชนเช่นเดียวกับก๊กแดง

สถานการณ์ในขณะนี้ก๊กฟ้าน้ำเงินถือตนว่ามีบทบาทในการเปลี่ยนขั้วการเมือง ทำให้สถาบันต่างๆ ปลอดภัยและเกิดความสงบสุขขึ้น จึงรู้สึกสำนึกเป็นหนี้บุญคุณของก๊กน้ำเงิน ในขณะที่ลืมบุญคุณของก๊กเหลือง

จน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ต้องออกมาเตือนสติว่าคนกินข้าวแล้วคิดแต่บุญคุณของคนเสิร์ฟข้าว แต่กลับไม่คิดถึงบุญคุณของชาวนาและโรงสี ย่อมเป็นการเนรคุณ ยิ่งเป็นชาวนาที่ไถหว่านด้วยความเสียสละกล้าหาญมาถึง 193 วันด้วยแล้ว หากไม่คำนึงถึงบุญคุณนี้ก็กลายเป็นคนอกตัญญู

สถานการณ์ล่าสุด ก๊กเหลืองชักไม่พอใจก๊กฟ้าน้ำเงินเพราะมีปฏิบัติการที่ไม่สอดคล้องกับคำพูดจา เนื่องจากสมรู้หรือยินยอมหรือเพิกเฉยให้กลุ่มฆาตกรที่เข่นฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลามาทำหน้าที่สอบสวน 21 พันธมิตรฯ กลายเป็นจำเลยสอบสวนโจทก์ ซึ่งไม่มีประเทศนิติรัฐที่ไหนเขาทำกัน

ก็ต้องดูกันว่าก๊กฟ้าจะว่าอย่างไร เพราะถ้าปากพูดอย่าง แต่ทำอีกอย่าง กรรมก็ย่อมเป็นเครื่องส่อเจตนา ในไม่ช้าก็จะเกิดการปะทะกันระหว่างก๊กฟ้าน้ำเงินกับก๊กเหลืองเป็นมั่นคง ซึ่งเมื่อนั้นก็จะเป็นโอกาสของก๊กแดงที่จะเข้ายึดอำนาจรัฐกลับคืน จากนั้นก็คงเป็นเรื่องก๊กเหลืองฟาดกับก๊กแดงต่อไปจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด

ในขณะที่ก๊กเหลืองกินแหนงอยู่กับก๊กฟ้าน้ำเงิน ก๊กแดงก็เปิดยุทธการด้านสภาโดยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่คงไม่เกิดผลประการใด อย่างมากก็แค่ช่วยรัฐบาลปรับคณะรัฐมนตรีเอารัฐมนตรีที่ไม่เข้าท่าออกไปเท่านั้น

แต่ของจริงไม่ใช่อยู่ในสภาดอก หากอยู่นอกสภา เพราะกองกำลังมวลชนเสื้อแดงกำลังยกระดับการจัดตั้งเป็น “กองทัพแดง” อย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้

ยุทธศาสตร์สามก๊กของการเมืองไทยคือศักราชใหม่ทางการเมืองที่นับแต่นี้ไปน่าจับตาอย่างยิ่ง.
กำลังโหลดความคิดเห็น