แถลงการณ์สยามแดงของนายใจ อึ๊งภากรณ์ ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าได้แตกหักกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว ทั้งยังได้กล่าวเตือนบรรดาสาวกทั้งหลายว่าอย่าได้ตั้งความหวังไว้กับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป
แต่แถลงการณ์ดังกล่าวนั้นก็ได้ตั้งความหวังไว้ที่มวลชนคนเสื้อแดงว่าจะเป็นพลังหลักในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปสู่ระบอบสังคมนิยม ซึ่งหมายถึงการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วนำระบอบสังคมนิยมเข้ามาใช้แทน
แถลงการณ์ดังกล่าวได้นำเสนออาวุธ 3 อย่างให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง คือการชุมนุมประท้วง การนัดหยุดงาน และการขยายความคิดสู่คนอื่นในทุกภาคส่วน แม้แต่ในระดับล่างของกองทัพ
สำหรับคนไทยทั่วประเทศจึงต้องเข้าใจอาวุธ 3 อย่างนี้ว่าหากนำมาใช้แล้วประเทศชาติและประชาชน ตลอดจนระบบเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
เพราะถ้ามีการประท้วงไม่หยุดไม่หย่อนโดยไม่มีเหตุไม่มีผล มีการนัดหยุดงานไปทั่วทุกวงการ และมีการสร้างความแตกแยกขึ้นในทุกหมู่เหล่าแล้ว อาวุธที่ว่านี้จะประหัตประหารประเทศชาติและประชาชนจนพินาศย่อยยับหรือไม่
ไม่ต้องรอคำตอบก็พอจะคาดได้ว่าการนำเสนออาวุธและวิธีการดังกล่าวของนายใจ อึ๊งภากรณ์ นั้นคงไม่มีใครไหนในประเทศนี้ยินดีปรีดาหรือยอมรับมาปฏิบัติอย่างแน่นอน
แต่ก็เป็นการสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดและเป้าหมายของแถลงการณ์สยามแดงอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการอะไร และต้องการทำอย่างไร ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องป้องกันแก้ไขต่อไป
และควรจะจับตากันให้ดีๆ ว่าในไม่กี่เพลาจากนี้ไปอาจมีการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาพรรคหนึ่ง เป็นพรรคสังคมนิยมโดยเปิดเผย แต่จะใช้ชื่อว่าอย่างไรนั้นก็ต้องจับตาติดตามกันต่อไป และพรรคการเมืองใหม่นี้ก็จะมีแกนนำคนสำคัญของคนเสื้อแดงเป็นหัวหน้าพรรคด้วย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ถึง 2 ประการดำรงอยู่คู่กัน
ประการแรก อาจเกิดการแตกหักอย่างถึงที่สุดและมีการแยกตัวของคนเสื้อแดงบางกลุ่มที่หมดอาลัยตายอยากกับ “ระบอบเผด็จการครอบครัว” ที่ใช้ญาติพี่น้องควบคุมบงการพรรคเพื่อไปสู่อำนาจรัฐ หรือ
ประการที่สอง มีการตั้งพรรคการเมืองคู่ขนาน พรรคหนึ่งเป็นพรรคเผด็จการโดยครอบครัวที่มีคนคนเดียวควบคุมบังคับบัญชา กับอีกพรรคหนึ่งซึ่งเป็นพรรคที่มีลักษณะมหาชน เปิดตัวในลักษณะพรรคสังคมนิยมโดยเปิดเผย แต่ทำงานคู่ขนานไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
คือเปลี่ยนแปลงการปกครอง ล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเสียก่อน จากนั้นก็อาจเกิดเหตุฟาดฟันทำลายล้างกันเองเพื่อไปสู่อุดมการณ์สังคมนิยมของคนบางกลุ่ม
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวในการโฟนอินมายังการชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดงว่าได้ตั้งความหวังที่จะกลับประเทศไว้เป็น 2 กรณี
กรณีแรก เป็นการหวังพึ่งพระบารมีที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ กับกรณีที่สอง หวังพึ่งพลังของประชาชนที่จะอุ้มชูให้กลับคืนสู่มาตุภูมิและคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
แต่ระยะหลังนั้นถ้อยคำเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีการกล่าวถึงกรณีแรกอีกแล้ว คงเน้นเฉพาะกรณีหลัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีความเชื่อมั่นว่าพลังของคนเสื้อแดงจะอุ้มสมให้กลับคืนสู่มาตุภูมิและบัลลังก์แห่งอำนาจได้ดังปรารถนา
แสดงให้เห็นชัดเจนว่าในขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นได้วางความเชื่อมั่นไว้ที่มวลชนคนเสื้อแดงมากกว่าพรรคการเมืองในสภา โดยมิได้คำนึงว่าพลังของคนเสื้อแดงนั้นจะเป็นพลังชนิดไหน
คือเป็นพลังของคนที่เชื่อถือศรัทธาต่อระบอบเผด็จการครอบครัว หรือว่าเชื่อถือศรัทธาต่ออุดมการณ์สังคมนิยมหรือระบอบอื่นๆ
และอาจคำนึงไม่ถึงว่าหากทำการสำเร็จ จะเกิดการหักล้างกันอย่างไร คือหักล้างกลุ่มสังคมนิยมได้สำเร็จ หรือจะถูกกลุ่มสังคมนิยมหักล้างโดยใช้เป็นแค่เครื่องมือในทางผ่านเท่านั้น
นอกจากนี้นายจักรภพ เพ็ญแข ก็ได้กล่าวต่อสาธารณะโดยเฉพาะในการชุมนุมของคนเสื้อแดงหลายครั้ง แสดงเจตนารมณ์โดยเปิดเผยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมและมุ่งหวังอาศัยพลังของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นหลัก
ล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ สื่อมวลชนก็ได้รายงานข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินเข้ามายังกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าให้มุ่งเน้นการทำงานหนักในภาคอีสาน โดยชี้ว่าจะเป็นจุดชี้ขาด หากแพ้ในภาคอีสานก็จะพ่ายแพ้ทั้งหมด แต่ถ้าชนะในภาคอีสานก็จะชนะทั้งหมด
ทั้งหมดนั้นจึงชี้ชัดว่าสถานการณ์ในขณะนี้มีการฝากความหวังครั้งสำคัญเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย รวมทั้งเพื่อการกลับมาสู่มาตุภูมิไว้ที่พลังมวลชน
โดยถือเอาพื้นที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่จะชี้ขาดแพ้ชนะอนาคตทั้งปวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เพราะเหตุนี้การช่วงชิงมวลชนจึงมีฐานะสำคัญและมีนัยยะสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อทุกฝ่าย
ฝ่ายที่มุ่งหมายพิทักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ต้องพึ่งพาอาศัยมวลมหาประชาชน
ฝ่ายที่มุ่งหมายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขก็ต้องพึ่งพาอาศัยมวลมหาประชาชน
ฝ่ายไหนมีมวลมหาประชาชนสนับสนุน ฝ่ายนั้นก็ชนะ มันจะปรากฏโฉมหน้าให้เห็นก่อนโดยผลการเลือกตั้งทั่วไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยการยุบสภาหรือโดยการหมดวาระก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายกำลังทุ่มเทพลังเข้าช่วงชิงกันอยู่ในขณะนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีเครื่องมือสำคัญอยู่ 3 ชนิด คือมีพรรคเพื่อไทยเป็นกองหน้าในการรุกรบในระบอบรัฐสภา มีพลังของสื่อมวลชนเป็นปากเป็นเสียงทั้งในและต่างประเทศ และมีพลังมวลชนคนเสื้อแดงเป็นกองกำลังมวลชน ซึ่งขณะนี้การใช้ภาษาอังกฤษเรียกพลังนี้ได้ใช้คำว่า “Red Army” หรือกองทัพแดงแล้ว
เป็นชื่อเดียวกันกับกองทัพแดงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่อยู่ภายใต้การนำของประธานเหมาเจ๋อตง และได้รับชัยชนะในสงครามปลดปล่อยประเทศจีนมาแล้ว
พลัง 3 ชนิดดังกล่าวนี้คือปัจจัยสำคัญในการช่วงชิงอำนาจรัฐ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งไม่อาจดูแคลนได้เป็นอันขาด
พลัง 3 ชนิดดังกล่าวอยู่ภายใต้การนำและการบัญชาของคนคนเดียว ซึ่งมีจุดเด่นในด้านเอกภาพ แต่มีจุดด้อยในลักษณะวีรชนเอกชน ที่มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้โดยง่าย
แต่อีกด้านหนึ่ง ยังไม่ปรากฏการจัดกระบวนรบที่ชัดเจนหรือเป็นกระบวน แต่ก็มีพลังที่แน่นอนประจักษ์ชัดเหมือนกัน
พลังของผู้คนที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ว่าในภาคเอกชนหรือภาครัฐ หรือภาคประชาชน โดยเฉพาะพลังของกองทัพ ยังคงเป็นพลังหลักของสังคมไทยในปัจจุบันนี้ หากมีการบริหารจัดการที่เข้มแข็งเป็นระบบก็จะเป็นหลักประกันให้ระบอบปัจจุบันมั่นคงดำรงอยู่ต่อไป
พลังของคนเสื้อเหลืองที่กำลังขยายตัวไปในทั่วทุกภูมิภาค และกำลังรุกรบสู่ภาคเหนือและภาคอีสานในท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนักหน่วงของแกนนำคนเสื้อแดง ด้วยรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวขยับตัวของคนเสื้อเหลืองนั้นมีเป้าหมายที่จะทำลายยุทธศาสตร์อีสาน-เหนือโดยตรง
พลังสื่อมวลชนที่ยืนข้างและมุ่งพิทักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ดำรงอยู่และขยายตัวไป
เป็นแต่ว่ายังหากองบัญชาการที่เป็นเอกภาพหรือกองบัญชาการที่มีลักษณะการนำรวมหมู่ที่ชัดเจนไม่ได้
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีลักษณะเป็นพรรคสภา ไม่มีพลังมวลชนที่มีลักษณะเป็นกองหน้าที่เข้มแข็งเกรียงไกรในสถานการณ์สู้รบของสมรภูมิมวลชน หากต่อสู้โดยลำพังในที่สุดก็จะไม่สามารถรับมือกับพลังมวลชนและพลังสื่อของอีกฝ่ายหนึ่งได้
ดังนั้นในสถานการณ์สงครามช่วงชิงมวลชนครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังอุบัติขึ้นในราชอาณาจักรไทยในปัจจุบันนี้จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสนใจและต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรก่อนที่จะสายเกินการ.
แต่แถลงการณ์ดังกล่าวนั้นก็ได้ตั้งความหวังไว้ที่มวลชนคนเสื้อแดงว่าจะเป็นพลังหลักในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปสู่ระบอบสังคมนิยม ซึ่งหมายถึงการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วนำระบอบสังคมนิยมเข้ามาใช้แทน
แถลงการณ์ดังกล่าวได้นำเสนออาวุธ 3 อย่างให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง คือการชุมนุมประท้วง การนัดหยุดงาน และการขยายความคิดสู่คนอื่นในทุกภาคส่วน แม้แต่ในระดับล่างของกองทัพ
สำหรับคนไทยทั่วประเทศจึงต้องเข้าใจอาวุธ 3 อย่างนี้ว่าหากนำมาใช้แล้วประเทศชาติและประชาชน ตลอดจนระบบเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
เพราะถ้ามีการประท้วงไม่หยุดไม่หย่อนโดยไม่มีเหตุไม่มีผล มีการนัดหยุดงานไปทั่วทุกวงการ และมีการสร้างความแตกแยกขึ้นในทุกหมู่เหล่าแล้ว อาวุธที่ว่านี้จะประหัตประหารประเทศชาติและประชาชนจนพินาศย่อยยับหรือไม่
ไม่ต้องรอคำตอบก็พอจะคาดได้ว่าการนำเสนออาวุธและวิธีการดังกล่าวของนายใจ อึ๊งภากรณ์ นั้นคงไม่มีใครไหนในประเทศนี้ยินดีปรีดาหรือยอมรับมาปฏิบัติอย่างแน่นอน
แต่ก็เป็นการสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดและเป้าหมายของแถลงการณ์สยามแดงอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการอะไร และต้องการทำอย่างไร ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องป้องกันแก้ไขต่อไป
และควรจะจับตากันให้ดีๆ ว่าในไม่กี่เพลาจากนี้ไปอาจมีการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาพรรคหนึ่ง เป็นพรรคสังคมนิยมโดยเปิดเผย แต่จะใช้ชื่อว่าอย่างไรนั้นก็ต้องจับตาติดตามกันต่อไป และพรรคการเมืองใหม่นี้ก็จะมีแกนนำคนสำคัญของคนเสื้อแดงเป็นหัวหน้าพรรคด้วย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ถึง 2 ประการดำรงอยู่คู่กัน
ประการแรก อาจเกิดการแตกหักอย่างถึงที่สุดและมีการแยกตัวของคนเสื้อแดงบางกลุ่มที่หมดอาลัยตายอยากกับ “ระบอบเผด็จการครอบครัว” ที่ใช้ญาติพี่น้องควบคุมบงการพรรคเพื่อไปสู่อำนาจรัฐ หรือ
ประการที่สอง มีการตั้งพรรคการเมืองคู่ขนาน พรรคหนึ่งเป็นพรรคเผด็จการโดยครอบครัวที่มีคนคนเดียวควบคุมบังคับบัญชา กับอีกพรรคหนึ่งซึ่งเป็นพรรคที่มีลักษณะมหาชน เปิดตัวในลักษณะพรรคสังคมนิยมโดยเปิดเผย แต่ทำงานคู่ขนานไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
คือเปลี่ยนแปลงการปกครอง ล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเสียก่อน จากนั้นก็อาจเกิดเหตุฟาดฟันทำลายล้างกันเองเพื่อไปสู่อุดมการณ์สังคมนิยมของคนบางกลุ่ม
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวในการโฟนอินมายังการชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดงว่าได้ตั้งความหวังที่จะกลับประเทศไว้เป็น 2 กรณี
กรณีแรก เป็นการหวังพึ่งพระบารมีที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ กับกรณีที่สอง หวังพึ่งพลังของประชาชนที่จะอุ้มชูให้กลับคืนสู่มาตุภูมิและคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
แต่ระยะหลังนั้นถ้อยคำเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีการกล่าวถึงกรณีแรกอีกแล้ว คงเน้นเฉพาะกรณีหลัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีความเชื่อมั่นว่าพลังของคนเสื้อแดงจะอุ้มสมให้กลับคืนสู่มาตุภูมิและบัลลังก์แห่งอำนาจได้ดังปรารถนา
แสดงให้เห็นชัดเจนว่าในขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นได้วางความเชื่อมั่นไว้ที่มวลชนคนเสื้อแดงมากกว่าพรรคการเมืองในสภา โดยมิได้คำนึงว่าพลังของคนเสื้อแดงนั้นจะเป็นพลังชนิดไหน
คือเป็นพลังของคนที่เชื่อถือศรัทธาต่อระบอบเผด็จการครอบครัว หรือว่าเชื่อถือศรัทธาต่ออุดมการณ์สังคมนิยมหรือระบอบอื่นๆ
และอาจคำนึงไม่ถึงว่าหากทำการสำเร็จ จะเกิดการหักล้างกันอย่างไร คือหักล้างกลุ่มสังคมนิยมได้สำเร็จ หรือจะถูกกลุ่มสังคมนิยมหักล้างโดยใช้เป็นแค่เครื่องมือในทางผ่านเท่านั้น
นอกจากนี้นายจักรภพ เพ็ญแข ก็ได้กล่าวต่อสาธารณะโดยเฉพาะในการชุมนุมของคนเสื้อแดงหลายครั้ง แสดงเจตนารมณ์โดยเปิดเผยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมและมุ่งหวังอาศัยพลังของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นหลัก
ล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ สื่อมวลชนก็ได้รายงานข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินเข้ามายังกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าให้มุ่งเน้นการทำงานหนักในภาคอีสาน โดยชี้ว่าจะเป็นจุดชี้ขาด หากแพ้ในภาคอีสานก็จะพ่ายแพ้ทั้งหมด แต่ถ้าชนะในภาคอีสานก็จะชนะทั้งหมด
ทั้งหมดนั้นจึงชี้ชัดว่าสถานการณ์ในขณะนี้มีการฝากความหวังครั้งสำคัญเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย รวมทั้งเพื่อการกลับมาสู่มาตุภูมิไว้ที่พลังมวลชน
โดยถือเอาพื้นที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่จะชี้ขาดแพ้ชนะอนาคตทั้งปวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เพราะเหตุนี้การช่วงชิงมวลชนจึงมีฐานะสำคัญและมีนัยยะสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อทุกฝ่าย
ฝ่ายที่มุ่งหมายพิทักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ต้องพึ่งพาอาศัยมวลมหาประชาชน
ฝ่ายที่มุ่งหมายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขก็ต้องพึ่งพาอาศัยมวลมหาประชาชน
ฝ่ายไหนมีมวลมหาประชาชนสนับสนุน ฝ่ายนั้นก็ชนะ มันจะปรากฏโฉมหน้าให้เห็นก่อนโดยผลการเลือกตั้งทั่วไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยการยุบสภาหรือโดยการหมดวาระก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายกำลังทุ่มเทพลังเข้าช่วงชิงกันอยู่ในขณะนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีเครื่องมือสำคัญอยู่ 3 ชนิด คือมีพรรคเพื่อไทยเป็นกองหน้าในการรุกรบในระบอบรัฐสภา มีพลังของสื่อมวลชนเป็นปากเป็นเสียงทั้งในและต่างประเทศ และมีพลังมวลชนคนเสื้อแดงเป็นกองกำลังมวลชน ซึ่งขณะนี้การใช้ภาษาอังกฤษเรียกพลังนี้ได้ใช้คำว่า “Red Army” หรือกองทัพแดงแล้ว
เป็นชื่อเดียวกันกับกองทัพแดงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่อยู่ภายใต้การนำของประธานเหมาเจ๋อตง และได้รับชัยชนะในสงครามปลดปล่อยประเทศจีนมาแล้ว
พลัง 3 ชนิดดังกล่าวนี้คือปัจจัยสำคัญในการช่วงชิงอำนาจรัฐ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งไม่อาจดูแคลนได้เป็นอันขาด
พลัง 3 ชนิดดังกล่าวอยู่ภายใต้การนำและการบัญชาของคนคนเดียว ซึ่งมีจุดเด่นในด้านเอกภาพ แต่มีจุดด้อยในลักษณะวีรชนเอกชน ที่มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้โดยง่าย
แต่อีกด้านหนึ่ง ยังไม่ปรากฏการจัดกระบวนรบที่ชัดเจนหรือเป็นกระบวน แต่ก็มีพลังที่แน่นอนประจักษ์ชัดเหมือนกัน
พลังของผู้คนที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ว่าในภาคเอกชนหรือภาครัฐ หรือภาคประชาชน โดยเฉพาะพลังของกองทัพ ยังคงเป็นพลังหลักของสังคมไทยในปัจจุบันนี้ หากมีการบริหารจัดการที่เข้มแข็งเป็นระบบก็จะเป็นหลักประกันให้ระบอบปัจจุบันมั่นคงดำรงอยู่ต่อไป
พลังของคนเสื้อเหลืองที่กำลังขยายตัวไปในทั่วทุกภูมิภาค และกำลังรุกรบสู่ภาคเหนือและภาคอีสานในท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนักหน่วงของแกนนำคนเสื้อแดง ด้วยรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวขยับตัวของคนเสื้อเหลืองนั้นมีเป้าหมายที่จะทำลายยุทธศาสตร์อีสาน-เหนือโดยตรง
พลังสื่อมวลชนที่ยืนข้างและมุ่งพิทักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ดำรงอยู่และขยายตัวไป
เป็นแต่ว่ายังหากองบัญชาการที่เป็นเอกภาพหรือกองบัญชาการที่มีลักษณะการนำรวมหมู่ที่ชัดเจนไม่ได้
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีลักษณะเป็นพรรคสภา ไม่มีพลังมวลชนที่มีลักษณะเป็นกองหน้าที่เข้มแข็งเกรียงไกรในสถานการณ์สู้รบของสมรภูมิมวลชน หากต่อสู้โดยลำพังในที่สุดก็จะไม่สามารถรับมือกับพลังมวลชนและพลังสื่อของอีกฝ่ายหนึ่งได้
ดังนั้นในสถานการณ์สงครามช่วงชิงมวลชนครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังอุบัติขึ้นในราชอาณาจักรไทยในปัจจุบันนี้จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสนใจและต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรก่อนที่จะสายเกินการ.