xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อฝ่ายซ้ายเขี่ยทิ้ง “ทักษิณ”

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

แถลงการณ์สยามแดงของนายใจ อึ๊งภากรณ์ นอกจากเป็นหลักฐานสำคัญในคดีกบฏในราชอาณาจักรแล้ว ยังได้เปิดเผยทัศนะของกลุ่มฝ่ายซ้ายที่เคยตั้งความหวังกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าจะเป็นผู้นำพวกเขาไปสู่การเปลี่ยนแปลงอีกด้วย

ทว่าแม้ถึงเวลานี้ยังไม่มีการชี้ให้เห็นถึงนัยดังกล่าว ทั้งๆ ที่ปรากฏเนื้อความอย่างชัดเจนอยู่ในแถลงการณ์สยามแดงแล้ว เพราะมัวแต่หยิบยกนำเสนอกันในปัญหาการโจมตีสถาบันเบื้องสูงและการประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไปสู่ระบอบสังคมนิยม

ประเด็นการหมดอาลัยตายอยากและหมดหวังกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฏในแถลงการณ์สยามแดงมีนัยสำคัญไม่น้อยกว่าประเด็นอื่นๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพิเคราะห์ถึงประเด็นนี้อย่างถ่องแท้สักครั้งหนึ่ง

ในประเด็นนี้ ใจ อึ๊งภากรณ์ ได้ระบุเป็นส่วนสำคัญของแถลงการณ์สยามแดงไว้ว่า “เลิกหวังได้แล้วว่าอดีตนายกฯ ทักษิณจะนำการต่อสู้ในทิศทางที่จำเป็นสำหรับการปลดแอกสังคม”

และอีกตอนหนึ่งก็ระบุว่า “อย่าตั้งความหวังกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย เขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้นอกกรอบระบบปัจจุบัน”

ซึ่งก่อนหน้านี้สื่อมวลชนสำนักหนึ่งได้เปิดเผยข้อเท็จจริงจากแหล่งข่าวคนสำคัญซึ่งมีอดีตเป็นกรรมการฝ่ายการเมืองระดับภาคของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยว่า เหตุผลหนึ่งในการออกแถลงการณ์สยามแดงของนายใจ อึ๊งภากรณ์ เกิดจากสภาวะอกหักและสิ้นหวังกับความคิดที่ทุ่มเทความหวังไว้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

โดยแหล่งข่าวนั้นระบุว่า ก่อนหน้านี้นายใจ อึ๊งภากรณ์ ก็เช่นเดียวกับขบวนการฝ่ายซ้ายรายอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มสหายทั้งหลายที่เคยเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งตั้งความหวังและฝากความหวังไว้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทย

โดยพวกเขาหวังลึกๆ ว่าจะพึ่งพาอาศัยกำลังเงิน กำลังความคิดสติปัญญา กำลังคน และกำลังอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย

แต่ความหวังนั้นพังครืนลงมาในพลันที่มีการประชุมเสวนาใหญ่ที่เขาใหญ่ ซึ่งปรากฏข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ไว้วางใจผู้ใดอีกแล้ว นอกจากญาติพี่น้องเท่านั้น และมีปฏิบัติการที่ประจักษ์ คือการกำหนดให้ญาติพี่น้องเป็นผู้รับผิดชอบและควบคุมดูแลพื้นที่เลือกตั้งภาคต่างๆ โดยไม่มีคนนอกเจือปนเลยแม้แต่คนเดียว

ตรงจุดนี้คือจุดแตกหักทางความคิด เพราะขบวนการฝ่ายซ้ายโดยเฉพาะใจ อึ๊งภากรณ์ เห็นว่าปรากฏการณ์นี้แสดงอย่างถ่องแท้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริง ไม่ใช่นักสังคมนิยมที่แท้จริง และไม่ใช่ความหวังของพวกเขาอีกต่อไป

เพราะคนเหล่านี้เห็นว่าปรากฏการณ์เช่นนั้นคือการล้มหลักการประชาธิปไตยรวมศูนย์ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของฝ่ายสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ ทั้งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำลายการนำรวมหมู่อย่างสิ้นเชิง โดยนำระบบเผด็จการครอบครัวมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ

คนเหล่านั้นซึ่งมีความช่ำชองทางทฤษฎีจึงตัดสินใจว่าปรากฏการณ์เผด็จการครอบครัวก็ดี ปรากฏการณ์ที่อาศัยวงศาคณาญาติบงการพรรค บงการประชาชน หรือบงการรัฐก็ดี เนื้อแท้ก็คือซากเดนของความล้าหลังของสังคม จึงไม่ใช่ความหวังและไม่อาจหวังพึ่งพาอาศัยได้อีกต่อไป

เพราะเหตุนี้เมื่อหวังมากก็ผิดหวังมาก เมื่อรักมากก็อกหักหนัก คืนแห่งความคลุ้มคลั่งทางความคิดจึงเกิดขึ้น และนำไปสู่การตัดสินใจการทำแถลงการณ์สยามแดง

ด้านหนึ่ง เพื่อประกาศทัศนะให้เหล่าผู้ร่วมขบวนการเลิกหวังกับอดีตนายกฯ ทักษิณ และอย่าตั้งความหวังกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป

อีกด้านหนึ่ง จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม การออกแถลงการณ์นั้นเท่ากับการเปิดขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เคยร่วมงานกันมาอย่างโจ่งแจ้งที่สุด และบังเกิดผลที่สำคัญคือเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดีในข้อหากบฏในราชอาณาจักร

จึงเป็นเหตุให้ผู้ร่วมขบวนการต้องแตกกระเจิง ประหนึ่งดั่งผึ้งแตกรัง ดังที่รู้เห็นกันอยู่

ดังนั้นในวันนี้สถานการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงถดถอยลงไปอีกก้าวใหญ่ที่ค่อนข้างลึกมากๆ

เพราะอย่างน้อยที่สุด แถลงการณ์สยามแดงของใจ อึ๊งภากรณ์ ได้สะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของขบวนการฝ่ายซ้ายที่เคยร่วมงานการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มคนเสื้อแดงมาระยะหนึ่ง และตั้งความหวังเอาไว้มาก ต้องผิดหวังและอกหักซ้ำสอง หลังจากเคยผิดหวังและอกหักจากเมื่อครั้งที่บางคนได้เข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในห้วงปี 2519 มาแล้ว

แรงกระเพื่อมและผลกระทบของแถลงการณ์สยามแดงที่มีต่อพรรคการเมืองและกลุ่มอำนาจเก่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฝ่ายซ้ายและบรรดาสหายทั้งหลาย จึงค่อนข้างลึกซึ้ง และแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อการกำหนดรูปแบบทางทฤษฎีและรูปการทางความคิด ตลอดจนรูปแบบการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่พวกเขาสันทัด และมีส่วนอย่างสำคัญต่อความเติบใหญ่ของงานมวลชนของกลุ่มอำนาจเก่า

ดังนั้นในแนวรบด้านมวลชนของอำนาจเก่า เมื่อขาดแกนนำทางความคิด แกนนำทางทฤษฎี และแกนนำการเคลื่อนไหว จึงย่อมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งจะต้องจับตาดูกันให้ดีว่าผลแท้จริงที่จะเกิดขึ้นจะแสดงออกในรูปแบบใดและประการใด

แต่ถ้าจะให้อุปมาก็อาจอุปมาได้ว่า ในแนวรบด้านมวลชนนั้นมีสภาพไม่ต่างอันใดกับแนวรบนักการเมือง ที่นักการเมืองส่วนใหญ่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง จนกระทั่งต้องเอาเด็กถือกระเป๋ามาเป็นนักการเมืองแทนเท่าใดนัก

ทว่าแถลงการณ์สยามแดงของนายใจ อึ๊งภากรณ์ ดังกล่าวยังคงตั้งความหวังไว้กับกลุ่มคนเสื้อแดงว่าจะเป็นกำลังหลักในการต่อสู้นอกกรอบ

อาวุธสำคัญของการต่อสู้นอกกรอบนั้น แถลงการณ์สยามแดงระบุว่า “อาวุธของเราคือการชุมนุม การนัดหยุดงาน และการขยายความคิดสู่คนอื่นในทุกภาคส่วน แม้แต่ในระดับล่างของกองทัพ”

นายใจ อึ๊งภากรณ์ ยังคงหลงเหลือความหวังว่าจะอาศัยพลังคนเสื้อแดงเป็นกำลังหลักในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย โดยใช้อาวุธสามชนิดดังกล่าว ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าผลจากการปลูกฝังทางความคิดและทฤษฎีในช่วงที่ผ่านมา จะสามารถกุมความคิดและทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงได้

แม้หากจะกุมแนวความคิดและทิศทางการเคลื่อนไหวได้จริง แต่สภาพก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะโดยนัยของแถลงการณ์ดังกล่าวมิได้ตั้งความหวังหรือฝากความหวังใดๆ ไว้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกแล้ว หากจะเกี่ยวข้องก็คงถือว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมในทิศทางที่ใจ อึ๊งภากรณ์ ต้องการ

ดูไปแล้วช่างสอดคล้องรองรับกับคำกล่าวของนายจักรภพ เพ็ญแข เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่ผู้นำการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยของพวกเขา แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งและส่วนเดียวเท่านั้น

เป็นความสอดคล้องกันโดยบังเอิญ หรือเป็นการสอดคล้องรองรับกันโดยแนวความคิดลึกๆ ที่ทั้งใจ อึ๊งภากรณ์ และจักรภพ เพ็ญแข ต่างก็เห็นตรงกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื้อแท้แล้วก็ไม่ใช่ผู้นำของพวกเขา และไม่ใช่ความหวังของพวกเขา

หากเป็นแค่เครื่องมือหรือทางผ่าน ซึ่งไม่ต่างกับสิ่วขวานที่ใช้ในการถากฟันอุปสรรคตามทางที่พวกเขาจะเดินไปข้างหน้า

หากเป็นความคิดหรือการพูดของคนแค่สองคนโดยบังเอิญก็ไม่กระไรนัก แต่ถ้าหากเป็นหลักคิดหลักทฤษฎีหรือแนวความคิดที่ตรงกันของผู้คนเสื้อแดงทั้งกระบวน โดยแสดงออกผ่านทางจักรภพ เพ็ญแข และใจ อึ๊งภากรณ์ แล้ว สถานการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็น่าวิตกห่วงใยและน่าสงสารอย่างยิ่ง

ที่น่าวิตกห่วงใยก็เพราะว่าการฝากความหวังไว้กับคนเหล่านี้ แท้จริงแล้วคนเหล่านั้นกลับเห็นว่าตนเองเป็นแค่สิ่วขวานสำหรับถากฟันอุปสรรคข้างทางเท่านั้น

ที่น่าสงสารอย่างยิ่งก็เพราะว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ตลอดจนภาพลักษณ์จากการกระทำของคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะโดยจงใจหรือไม่จงใจ และจะต้องมีศัตรูเพิ่มขึ้นทั้งที่เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติและทั้งที่เป็นศัตรูโดยคนเหล่านี้สร้างให้ หรือเป็นศัตรูที่เกิดขึ้นโดยผลของการเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านั้น

ก็ไม่รู้ว่าวันเวลาและความจริงที่ปรากฏจะกระจ่างชัดถึงปานนี้แล้วพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้ตั้งสติยั้งคิดหรือไม่ว่าสมควรจะตัดสินใจประการใด

คือหยุดม้าไว้ที่ริมผาเพื่อหาสันติให้กับชีวิตตนและครอบครัว หรือจะดั้นด้นต่อสู้ต่อไปโดยยอมลดตนลงเหลือเพียงแค่เครื่องมือหรือสิ่วขวานสำหรับถากถางขวากหนามข้างทางของคนบางกลุ่มบางพวก ที่อนาคตแม้หากชนะก็อาจจะเอาชีวิตรอดไม่ได้.
กำลังโหลดความคิดเห็น