ก่อนเวลา 12 นาฬิกา วันที่ 14 ตุลาคม 2551 รัฐบาลเขมรได้แถลงข่าวต่อสำนักข่าวต่างประเทศเผยแพร่ไปทั่วโลกว่าทางการไทยยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมตามที่เขมรได้ยื่นคำขาดแล้ว สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
พวกนักรักสันติที่ไร้เดียงสาทั้งปวงได้ยินข่าวนี้แล้วคงจะมีน้ำใจยินดีว่าวิกฤตชายแดนไทย-เขมร ได้ผ่านพ้นไปด้วยดี
แต่ในความเป็นจริงนั้น นี่คือการเหยียดหยามย่ำยีเกียรติภูมิเกียรติศักดิ์และศักดิ์ศรีของประเทศไทย ของกองทัพไทย และของประชาชนไทยอย่างยับเยิน พูดง่าย ๆ ก็คือเขมรมันเอาตีนลูบหน้าไทยนั่นเอง!
ไม่มีท่าทีใด ๆ ที่จะรักษาศักดิ์ศรีของประเทศไทยจากรัฐบาล จนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมงจึงมีการแถลงจากกองทัพไทยว่าฝ่ายไทยไม่ได้รุกรานดินแดนเขมร จะไม่ยอมถอนทหารออกจากที่ตั้งเด็ดขาด และพร้อมรบเพื่อปกปักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศจนถึงที่สุด
ท่าทีของกองทัพดังกล่าวเป็นที่ชื่นชมยินดีของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและประชาชนไทยล้วนสนับสนุนท่าทีที่ปกปักรักษาเอกราชอธิปไตยเช่นนี้อย่างเต็มที่
นับแต่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติสมัคร สุนทรเวช เห็นชอบให้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับการที่เขมรขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียวโดยผิดรัฐธรรมนูญแล้ว นับแต่นั้นมาไทยก็ถูกเขมรเหยียดหยามย่ำยีเหยียบย่ำไม่เว้นแต่ละวัน
และทำการคุกคามก่อกวนตามแนวชายแดนไทยอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าสังเกตก็คือทุกครั้งที่มีการคุกคามก่อกวนของเขมร มักจะสอดคล้องกับสถานการณ์ในกรุงเทพฯ โดยสอดคล้องในลักษณะที่ทำให้ประเทศไทยเสียหายต่อสายตานานาชาติ และในลักษณะที่เบี่ยงเบนความสนใจจากจุดกลางของปัญหาในกรุงเทพฯ ไปอยู่ชายแดน อันเห็นได้ว่าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพวกหุ่นเชิดขายชาติที่จะขายบ้านขายเมืองเข่นฆ่าสังหารประชาชน แล้วบิดเบือนความสนใจไปทางอื่น
ในขณะที่รัฐบาลฆาตกรมือเปื้อนเลือดกำลังถูกกระแสสังคมทั่วประเทศและทั่วโลกประณามอย่างหนักหน่วงในกรณีที่สังหารโหดและทำร้ายประชาชนอย่างโหดเหี้ยมจนทำให้คนตายและเจ็บเกือบ 500 คนในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ทำให้รัฐบาลฆาตกรมือเปื้อนเลือดอยู่ในสถานการณ์ร่อแร่ จะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่แล้ว นายฮุนเซนของเขมรก็ได้สร้างสถานการณ์พูดเองเออเองดังกล่าวขึ้นเพื่อเบนความสนใจของคนไทยและชาวโลกไปที่ชายแดน นี่คือเกมช่วยรัฐบาลฆาตกรมือเปื้อนเลือดนั่นเอง
ก่อนหน้านั้นเขมรได้ออกแถลงการณ์ประณามประเทศไทยว่าเป็นเมืองเถื่อน เพราะมีการยึดทำเนียบรัฐบาล ทำให้เขมรอับอายขายหน้าประเทศอาเซียนและชาวโลก
ต่อมาเขมรก็ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพไทยว่าเป็นโจรบุกรุกดินแดนเขมร
จากนั้นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของเขมรก็เปิดเผยข่าวต่อสื่อมวลชนต่างประเทศว่าได้จับกุมทหารไทยได้จำนวนมาก และผู้บัญชาการทหารของไทยยอมรับผิด จึงส่งตัวคืนให้ 20 คน
และได้ให้พลทหารเขมรซึ่งมีอดีตเป็นเขมรแดงให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศซ้ำเข้าไปอีกว่า ทหารไทยน่ะเร๊อะ กระจอกมาก ถ้าเขมรเอาจริงก็กวาดได้เรียบหมดเลย นี่มันเอาพลทหารมาพูดจาเหยียดหยามเหล่าทหารไทยอย่างหน้าตาเฉย
ต่อมานายทหารเขมรได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนต่างประเทศว่าทหารไทยในพื้นที่ชายแดนกินเหล้าจนเมาแอ๋ เขมรจับได้แล้วปล่อยตัวมาเพราะไม่ถือสาคนเมา
การกระทำของเขมรทั้งหมดนี้ไม่มีการตอบโต้หรือประณามหรือประท้วงใด ๆ จากรัฐบาลไทยหรือกระทรวงการต่างประเทศ และไม่มีเสียงปริหรือแย้มท่าทีใด ๆ ออกมาจากกองทัพเลย
เขมรยิ่งได้ใจ ดังนั้นจู่ ๆ ในเช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2551 นายฮุนเซนได้ประกาศผ่านสื่อมวลชนเขมรและออกข่าวไปทั่วโลกว่าทหารไทยบุกรุกล้ำดินแดนเขมรบริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของเขมร จึงยื่นคำขาดให้ทางการไทยถอนทหารออกไปภายในเวลา 12 นาฬิกาของวันเดียวกัน
ทำให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นระหว่างสองประเทศ และทำให้ทั่วประเทศและทั่วโลกต้องเบนความสนใจเหตุการณ์สังหารโหดประชาชนไปจับตามองที่ชายแดนว่าอาจเกิดสงครามไทย-กัมพูชา เพราะฮุนเซนขู่ว่าถ้าทางการไทยไม่ถอนทหาร บริเวณนั้นจะเป็นทุ่งสังหารทหารไทยทั้งหมด
มันช่างวางกล้ามใหญ่โตเหลือเกิน เห็นรัฐบาลไทยเป็นหมูหมาไม่มีคุณค่าใด ๆ เลย แต่ถ้าจะว่าให้ตรงก็ต้องเข้าใจว่ามันเหยียดหยามกองทัพไทยว่าไร้เดียงสา ไม่มีคุณค่าราคาที่จะเกรงใจใด ๆ เลย
ครั้นเวลาใกล้เที่ยงก็มีข่าวในประเทศไทยว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีทีท่าว่าจะให้ถอนทหารเพื่อจะเจรจากับเขมรต่อไป จากนั้นทางการเขมรก็แถลงข่าวไปทั่วโลกว่าทางการไทยยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ตามที่นายฮุนเซนได้ยื่นคำขาดแล้ว
มันน่าละอายอย่างยิ่งที่คนไทยซึ่งเป็นลูกหลานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชต้องได้รับความอัปยศอดสูจากการเหยียดหยามย่ำยีของเขมร และมันน่าเจ็บใจที่รัฐบาลไทยแสดงท่าทียอมจำนนด้วยความเกรงกลัวเขมรราวกับว่าเป็นขี้ข้าเขมรไปแล้ว
เราสงสัยในเหตุการณ์นี้ว่าจะเป็นลูกไม้ที่ใครบางคนคบคิดกับเขมรสร้างสถานการณ์เบนความสนใจ จึงได้ตรวจสอบโดยตรงไปยังผู้นำคนหนึ่งของกองทัพบกและผู้บังคับบัญชาทหารในพื้นที่ก็ได้ความตรงกันว่า ฝ่ายทหารจะไม่ยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนควาย โดยเด็ดขาด
นายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกว่าเราเตรียมกำลังและพร้อมรบเต็มที่ และรู้ดีว่าถ้าถอนทหารออกมาเขมรก็จะยึดพื้นที่บริเวณนี้ และจะมีผลให้ไทยเสียดินแดนตอนล่างลงมาจนถึงจันทบุรี ตราด และเกาะกูด รวมไปถึงพื้นที่ในทะเลเพิ่มเติมอีก และจะเสียดินแดนตอนบนขึ้นไปทางบุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษด้วย
จะเป็นการเสียดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ และถ้ายอมอย่างนั้นก็เตรียมยกวัดพระแก้วให้เขมรไปได้เลย!
ก็ยังพออุ่นใจและวางใจได้ เพราะหลังจากนั้นก็มีแถลงการณ์จากกองทัพและมีคำยืนยันจากแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าไม่มีการถอนทหารเด็ดขาด
ก็ต้องขอยกข้อความที่มีผู้โพสต์ลงในเว็บไซต์รายหนึ่งว่า “กองทัพราชสีห์ที่มีหมาเป็นหัวหน้าก็กลายเป็นกองทัพหมา”
คำว่า “กองทัพหมา” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกองทัพไทย แต่หมายถึงประเทศไทยที่มีรัฐบาลขี้ขลาดตาขาวและยอมจำนนให้กับเขมร ตลอดจนคบคิดสร้างสถานการณ์กับเขมรว่าย่อมไม่ต่างอันใดกับกองทัพราชสีห์ที่มีหมาเป็นหัวหน้าก็จะทำให้ทั้งประเทศไทย กองทัพไทย และประชาชนไทยที่เคยมีเกียรติศักดิ์นักรบและเคยยิ่งใหญ่ในดินแดนแถบนี้ต้องกลายเป็นหมาไปอย่างช่วยไม่ได้
ไม่อยากเป็นหมาก็ต้องไล่หมาไม่ให้เป็นหัวหน้ากองทัพราชสีห์ มันก็แค่นั้นเอง!
พวกนักรักสันติที่ไร้เดียงสาทั้งปวงได้ยินข่าวนี้แล้วคงจะมีน้ำใจยินดีว่าวิกฤตชายแดนไทย-เขมร ได้ผ่านพ้นไปด้วยดี
แต่ในความเป็นจริงนั้น นี่คือการเหยียดหยามย่ำยีเกียรติภูมิเกียรติศักดิ์และศักดิ์ศรีของประเทศไทย ของกองทัพไทย และของประชาชนไทยอย่างยับเยิน พูดง่าย ๆ ก็คือเขมรมันเอาตีนลูบหน้าไทยนั่นเอง!
ไม่มีท่าทีใด ๆ ที่จะรักษาศักดิ์ศรีของประเทศไทยจากรัฐบาล จนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมงจึงมีการแถลงจากกองทัพไทยว่าฝ่ายไทยไม่ได้รุกรานดินแดนเขมร จะไม่ยอมถอนทหารออกจากที่ตั้งเด็ดขาด และพร้อมรบเพื่อปกปักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศจนถึงที่สุด
ท่าทีของกองทัพดังกล่าวเป็นที่ชื่นชมยินดีของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและประชาชนไทยล้วนสนับสนุนท่าทีที่ปกปักรักษาเอกราชอธิปไตยเช่นนี้อย่างเต็มที่
นับแต่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติสมัคร สุนทรเวช เห็นชอบให้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับการที่เขมรขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียวโดยผิดรัฐธรรมนูญแล้ว นับแต่นั้นมาไทยก็ถูกเขมรเหยียดหยามย่ำยีเหยียบย่ำไม่เว้นแต่ละวัน
และทำการคุกคามก่อกวนตามแนวชายแดนไทยอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าสังเกตก็คือทุกครั้งที่มีการคุกคามก่อกวนของเขมร มักจะสอดคล้องกับสถานการณ์ในกรุงเทพฯ โดยสอดคล้องในลักษณะที่ทำให้ประเทศไทยเสียหายต่อสายตานานาชาติ และในลักษณะที่เบี่ยงเบนความสนใจจากจุดกลางของปัญหาในกรุงเทพฯ ไปอยู่ชายแดน อันเห็นได้ว่าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพวกหุ่นเชิดขายชาติที่จะขายบ้านขายเมืองเข่นฆ่าสังหารประชาชน แล้วบิดเบือนความสนใจไปทางอื่น
ในขณะที่รัฐบาลฆาตกรมือเปื้อนเลือดกำลังถูกกระแสสังคมทั่วประเทศและทั่วโลกประณามอย่างหนักหน่วงในกรณีที่สังหารโหดและทำร้ายประชาชนอย่างโหดเหี้ยมจนทำให้คนตายและเจ็บเกือบ 500 คนในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ทำให้รัฐบาลฆาตกรมือเปื้อนเลือดอยู่ในสถานการณ์ร่อแร่ จะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่แล้ว นายฮุนเซนของเขมรก็ได้สร้างสถานการณ์พูดเองเออเองดังกล่าวขึ้นเพื่อเบนความสนใจของคนไทยและชาวโลกไปที่ชายแดน นี่คือเกมช่วยรัฐบาลฆาตกรมือเปื้อนเลือดนั่นเอง
ก่อนหน้านั้นเขมรได้ออกแถลงการณ์ประณามประเทศไทยว่าเป็นเมืองเถื่อน เพราะมีการยึดทำเนียบรัฐบาล ทำให้เขมรอับอายขายหน้าประเทศอาเซียนและชาวโลก
ต่อมาเขมรก็ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพไทยว่าเป็นโจรบุกรุกดินแดนเขมร
จากนั้นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของเขมรก็เปิดเผยข่าวต่อสื่อมวลชนต่างประเทศว่าได้จับกุมทหารไทยได้จำนวนมาก และผู้บัญชาการทหารของไทยยอมรับผิด จึงส่งตัวคืนให้ 20 คน
และได้ให้พลทหารเขมรซึ่งมีอดีตเป็นเขมรแดงให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศซ้ำเข้าไปอีกว่า ทหารไทยน่ะเร๊อะ กระจอกมาก ถ้าเขมรเอาจริงก็กวาดได้เรียบหมดเลย นี่มันเอาพลทหารมาพูดจาเหยียดหยามเหล่าทหารไทยอย่างหน้าตาเฉย
ต่อมานายทหารเขมรได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนต่างประเทศว่าทหารไทยในพื้นที่ชายแดนกินเหล้าจนเมาแอ๋ เขมรจับได้แล้วปล่อยตัวมาเพราะไม่ถือสาคนเมา
การกระทำของเขมรทั้งหมดนี้ไม่มีการตอบโต้หรือประณามหรือประท้วงใด ๆ จากรัฐบาลไทยหรือกระทรวงการต่างประเทศ และไม่มีเสียงปริหรือแย้มท่าทีใด ๆ ออกมาจากกองทัพเลย
เขมรยิ่งได้ใจ ดังนั้นจู่ ๆ ในเช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2551 นายฮุนเซนได้ประกาศผ่านสื่อมวลชนเขมรและออกข่าวไปทั่วโลกว่าทหารไทยบุกรุกล้ำดินแดนเขมรบริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของเขมร จึงยื่นคำขาดให้ทางการไทยถอนทหารออกไปภายในเวลา 12 นาฬิกาของวันเดียวกัน
ทำให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นระหว่างสองประเทศ และทำให้ทั่วประเทศและทั่วโลกต้องเบนความสนใจเหตุการณ์สังหารโหดประชาชนไปจับตามองที่ชายแดนว่าอาจเกิดสงครามไทย-กัมพูชา เพราะฮุนเซนขู่ว่าถ้าทางการไทยไม่ถอนทหาร บริเวณนั้นจะเป็นทุ่งสังหารทหารไทยทั้งหมด
มันช่างวางกล้ามใหญ่โตเหลือเกิน เห็นรัฐบาลไทยเป็นหมูหมาไม่มีคุณค่าใด ๆ เลย แต่ถ้าจะว่าให้ตรงก็ต้องเข้าใจว่ามันเหยียดหยามกองทัพไทยว่าไร้เดียงสา ไม่มีคุณค่าราคาที่จะเกรงใจใด ๆ เลย
ครั้นเวลาใกล้เที่ยงก็มีข่าวในประเทศไทยว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีทีท่าว่าจะให้ถอนทหารเพื่อจะเจรจากับเขมรต่อไป จากนั้นทางการเขมรก็แถลงข่าวไปทั่วโลกว่าทางการไทยยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ตามที่นายฮุนเซนได้ยื่นคำขาดแล้ว
มันน่าละอายอย่างยิ่งที่คนไทยซึ่งเป็นลูกหลานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชต้องได้รับความอัปยศอดสูจากการเหยียดหยามย่ำยีของเขมร และมันน่าเจ็บใจที่รัฐบาลไทยแสดงท่าทียอมจำนนด้วยความเกรงกลัวเขมรราวกับว่าเป็นขี้ข้าเขมรไปแล้ว
เราสงสัยในเหตุการณ์นี้ว่าจะเป็นลูกไม้ที่ใครบางคนคบคิดกับเขมรสร้างสถานการณ์เบนความสนใจ จึงได้ตรวจสอบโดยตรงไปยังผู้นำคนหนึ่งของกองทัพบกและผู้บังคับบัญชาทหารในพื้นที่ก็ได้ความตรงกันว่า ฝ่ายทหารจะไม่ยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนควาย โดยเด็ดขาด
นายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกว่าเราเตรียมกำลังและพร้อมรบเต็มที่ และรู้ดีว่าถ้าถอนทหารออกมาเขมรก็จะยึดพื้นที่บริเวณนี้ และจะมีผลให้ไทยเสียดินแดนตอนล่างลงมาจนถึงจันทบุรี ตราด และเกาะกูด รวมไปถึงพื้นที่ในทะเลเพิ่มเติมอีก และจะเสียดินแดนตอนบนขึ้นไปทางบุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษด้วย
จะเป็นการเสียดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ และถ้ายอมอย่างนั้นก็เตรียมยกวัดพระแก้วให้เขมรไปได้เลย!
ก็ยังพออุ่นใจและวางใจได้ เพราะหลังจากนั้นก็มีแถลงการณ์จากกองทัพและมีคำยืนยันจากแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าไม่มีการถอนทหารเด็ดขาด
ก็ต้องขอยกข้อความที่มีผู้โพสต์ลงในเว็บไซต์รายหนึ่งว่า “กองทัพราชสีห์ที่มีหมาเป็นหัวหน้าก็กลายเป็นกองทัพหมา”
คำว่า “กองทัพหมา” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกองทัพไทย แต่หมายถึงประเทศไทยที่มีรัฐบาลขี้ขลาดตาขาวและยอมจำนนให้กับเขมร ตลอดจนคบคิดสร้างสถานการณ์กับเขมรว่าย่อมไม่ต่างอันใดกับกองทัพราชสีห์ที่มีหมาเป็นหัวหน้าก็จะทำให้ทั้งประเทศไทย กองทัพไทย และประชาชนไทยที่เคยมีเกียรติศักดิ์นักรบและเคยยิ่งใหญ่ในดินแดนแถบนี้ต้องกลายเป็นหมาไปอย่างช่วยไม่ได้
ไม่อยากเป็นหมาก็ต้องไล่หมาไม่ให้เป็นหัวหน้ากองทัพราชสีห์ มันก็แค่นั้นเอง!