กรมทรัพย์สินทางปัญญา ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) รายการใหม่ “ข้าวไร่หอมหัวบอนกระบี่” เป็นสินค้าข้าว GI ลำดับที่ 24 และลำดับที่ 3 ของ จ.กระบี่ เผยมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว ข้าวหุงสุกมีกลิ่นหอมเหมือนหัวเผือก ปัจจุบันสร้างรายได้ให้ชุมชนปีละกว่า 66 ล้านบาท มั่นใจหลังขึ้นทะเบียน GI จะทำให้สินค้าเป็นที่รู้จัก และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรมากขึ้น
น.ส.นุสรา กาญจนกูล อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) รายการใหม่ คือ ข้าวไร่หอมหัวบอนกระบี่ เป็นสินค้าข้าว GI ลำดับที่ 24 และเป็นสินค้า GI ลำดับ 3 ของ จ.กระบี่ ต่อจากสินค้ากาแฟเมืองกระบี่ และทุเรียนทะเลหอย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้ โดยมั่นใจว่าการขึ้นทะเบียน GI จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้เพิ่มขึ้น
สำหรับข้าวไร่หอมหัวบอนกระบี่ คือ ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง และข้าวซ้อมมือ ที่แปรรูปมาจากข้าวเปลือกพันธุ์หอมหัวบอน ซึ่งเป็นข้าวไร่พื้นเมืองดั้งเดิมของ จ.กระบี่ โดยข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลแดง ส่วนข้าวซ้อมมือจะมีสีขาวขุ่นปนน้ำตาลแดง รูปร่างเรียว ปลูกและแปรรูปในเขตพื้นที่ จ.กระบี่ ซึ่งมีสภาพดินเป็นดินร่วนปนทราย มีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดมากถึงด่างเล็กน้อย
ทั้งนี้ เนื่องจากข้าวหอมหัวบอน เป็นข้าวที่มีพันธุกรรมตอบสนองเฉพาะดิน ทำให้ข้าวมีความหอมและทนทานต่อโรค อีกทั้ง จ.กระบี่มีภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกชุกตลอดปี ด้วยลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศดังกล่าว ทำให้ จ.กระบี่เหมาะกับการปลูกและเจริญเติบโตของข้าวไร่หอมหัวบอนกระบี่ และส่งผลให้ข้าวไร่หอมหัวบอนกระบี่ มีคุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เมื่อหุงสุกข้าวจะนุ่มและมีกลิ่นหอมเหมือน “เผือก” หรือ “บอน” ในภาษาใต้ จึงเป็นที่มาของชื่อ หอมหัวบอน หรือหัวบอน หรือหอมบอน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการปลูกข้าวใน จ.กระบี่ จะลดน้อยลง แต่ข้าวไร่หอมหัวบอนยังคงเป็นที่นิยมปลูก เนื่องจากเป็นที่นิยมจากผู้บริโภคในพื้นที่และต่างจังหวัด อีกทั้งยังได้รับการรับรองพันธุ์ข้าวจากกรมการข้าวในปี 2567 ยิ่งทำให้ข้าวไร่หอมหัวบอน มีแนวโน้มการบริโภคเพิ่มมากขึ้น การปลูกข้าวไร่หอมหัวบอน จึงมีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 66 ล้านบาทต่อปี
ปัจจุบันไทยมีสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด และยังมีการเดินหน้าผลักดันให้สินค้าเกษตร สินค้าชุมชน และสินค้าท้องถิ่น มีการขึ้นทะเบียน GI อย่างต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในแต่ละท้องถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ควบคู่ไปกับการควบคุมคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการบริโภคสินค้า GI ไทย