คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช เห็นชอบการเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าสินค้าถั่วเหลือง และมะพร้าว ยึดหลักผู้ประกอบการมีวัตถุดิบสม่ำเสมอและเพียงพอต่อการผลิต และไม่กระทบกับเกษตรกรภายในประเทศ เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2568 ที่มีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง เมล็ดถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง และมะพร้าว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง มีวัตถุดิบป้อนโรงงานอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ โดยไม่กระทบกับภาคอุตสาหกรรมที่ใช้สินค้าถั่วเหลืองและมะพร้าวเป็นวัตถุดิบ และไม่กระทบกับเกษตรกรในประเทศ โดยยึดหลักการดูแลราคาผลผลิตของเกษตรกรเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการจัดหาวัตถุดิบเพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
สำหรับการเปิดตลาด ได้กำหนดเงื่อนไข ดังนี้ 1.การเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตามพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) และความตกลงการค้าเสรี (FTA) อื่น ๆ ปี 2568–2570
2.การเปิดตลาดเมล็ดถั่วเหลืองและการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองคราวละ 3 ปี (2569–2571) เพื่อสนับสนุน อุตสาหกรรมสกัดน้ำมัน อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร พร้อมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแล ประกอบด้วยหน่วยงานรัฐ เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลือง และภาคเอกชน
3.การเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าสินค้าน้ำมันถั่วเหลืองและแฟรกชันของน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าวและแฟรกชันของน้ำมันมะพร้าว ปี 2569–2571 ตามพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) และความตกลงการค้าเสรี (FTA) อื่น ๆ ตามความจำเป็นของตลาดภายในประเทศ โดยเน้นรักษาเสถียรภาพราคา ไม่ให้ผันผวนจนกระทบเกษตรกรผู้ผลิต
“การประชุมครั้งนี้ เป็นการวางกลไกบริหารจัดการสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชให้เกิดความสมดุลและเหมาะสม โดยคำนึงถึงพี่น้องเกษตรกรในประเทศเป็นลำดับแรก ซึ่งอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อดูแลราคาผลผลิตให้เป็นธรรม ควบคู่ไปกับการจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งจะช่วยรักษาความมั่นคงทางอาหาร เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยังมุ่งเน้นการผลักดันการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น โดยต้องทำอย่างสมดุล ระหว่างการคุ้มครองเกษตรกรและการดูแลอุตสาหกรรม เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน”นายจตุพรกล่าว