“พาณิชย์” เผยโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเตรียมเข้าครม. 27 ต.ค.นี้ เผยหลังอนุมัติจะจ่ายส่วนต่างราคาข้าวงวดแรกได้เลย พร้อมสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตไร่ละ 1,000 บาท
นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในติดตามความคืบหน้าโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563/64 อย่างใกล้ชิด หลังจากที่โครงการได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) แล้ว โดยล่าสุดได้รับแจ้งความเห็นจากกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องประกันรายได้ข้าวเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2563 และได้ประสานสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อบรรจุเรื่องนี้เป็นวาระเข้าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 20 ต.ค. 2563 แต่ด้วยรายละเอียดโครงการมีมาก ไม่สามารถเข้าเป็นวาระจรได้ คาดว่าถ้าไม่ติดขัดขั้นตอนใดอีก จะสามารถเข้า ครม.เพื่อพิจารณาได้ในวันที่ 27 ต.ค. 2563
สำหรับการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปหลังจากที่ ครม.อนุมัติโครงการแล้ว จะมีการจ่ายเงินส่วนต่างในโครงการประกันรายได้เกษตรกร โดยคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะพิจารณาและออกประกาศราคาเกณฑ์กลาง จากนั้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะจ่ายเงินส่วนต่างเข้าบัญชีเกษตรกร โดยการจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกจะจ่ายให้แก่เกษตรกรที่เพาะปลูกตั้งแต่ 1 เม.ย. 2563 และระบุวันคาดว่าจะเก็บเกี่ยว
นอกจากนี้ จะเริ่มจ่ายเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ในอัตราไร่ละ 1,000 บาทได้ทันทีหลัง ครม.มีมติอนุมัติ และบอร์ด ธ.ก.ส.พิจารณาเห็นชอบให้จ่ายเงิน
“นายจุรินทร์ได้กำชับให้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นโครงการที่พี่น้องชาวนากำลังรออยู่ และมีคำถามเข้ามาอย่างต่อเนื่องว่าโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2 จะเริ่มตั้งแต่วันไหน จะมีการประกาศราคากลางที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณส่วนต่างเมื่อไร และจะจ่ายเงินส่วนต่างเมื่อใด หรือเงินช่วยเหลือต้นทุนและค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวไร่ละ 1,000 บาทจะเริ่มจ่ายได้เมื่อใด เป็นต้น จึงขอใช้โอกาสนี้มาแจ้งความคืบหน้าให้ได้ทราบ” นางมัลลิกากล่าว
ปัจจุบันโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2 นบข.ได้อนุมัติวงเงินงบประมาณ 23,495 ล้านบาท ประกันรายได้ข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ไม่เกิน 16 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ไม่เกิน 16 ตัน โดยล่าสุดมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวขึ้นทะเบียน 4.46 ล้านครัวเรือน