“จุรินทร์” เผยราคาข้าวปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังรัฐบาลขยายมาตรการเสริมจ่ายชดเชยการเก็บข้าวในสต๊อก และตลาดต่างประเทศต้องการเพิ่มขึ้น ดันราคาข้าวเปลือกเจ้าทะลุตันละ 1 หมื่นบาท สั่งจับตาข้าวสารถุงและการส่งออกใกล้ชิด หวังบริหารสถานการณ์ให้สมดุลที่สุดช่วงรับมือโควิด-19
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกในตลาดปรับตัวสูงเป็นลำดับ เพราะได้รับผลดีจากมาตรการส่งเสริมให้ชาวนาเก็บสต๊อกข้าวไว้โดยได้รับเงินชดเชย และตลาดต่างประเทศมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น เช่น ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ทำให้ราคาข้าวเปลือกเจ้า ความชื้นไม่เกิน 15% ราคาทางการที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสำหรับข้าวนาปรังขึ้นมาอยู่ที่ราคา 9,200-10,500 บาทต่อตัน ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ 14,000-15,300 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานีอยู่ที่ราคา 10,000-10,500 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวอยู่ที่ราคา 15,600-17,500 บาทต่อตัน
“ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เฝ้าติดตามสถานการณ์ข้าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายข้าวเปลือกได้ในราคาที่ดีที่สุด และขณะเดียวกันให้ติดตามราคาข้าวสารถุงสำหรับบริโภคและตัวเลขการส่งออกข้าวควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้สถานการณ์ข้าวของประเทศในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับภัยโควิด-19 อยู่ในขณะนี้เกิดความสมดุลที่สุด”
นายจุรินทร์กล่าวว่า หากราคาข้าวชนิดใดชนิดหนึ่งตกต่ำลงมา นโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวก็ยังคงอยู่ และสามารถช่วยชดเชยเงินส่วนต่างของรายได้ให้แก่ชาวนาต่อได้ โดยการโอนจ่ายเงินส่วนต่างของงวดที่ 22 คือวันที่ 8 เม.ย. 2563 วงเงินประมาณ 8.60 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรในภาคใต้ ภาคอื่นสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว โดยข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ราคาตันละ 14,200 บาท ราคาสูงกว่าราคาเป้าหมาย ข้าวเปลือกเจ้า ราคาตันละ 9,638 บาท ชดเชยส่วนต่างตันละ 361.84 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาตันละ 10,903 บาท ชดเชยส่วนต่างตันละ 96.54 บาท ข้าวเปลือกเหนียว ราคาตันละ 16,833 บาท ราคาสูงกว่าราคาเป้าหมาย
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว รัฐบาลดูแลเกษตรกรที่มีสิทธิทั้งหมด 4.31 ล้านราย วงเงิน 20,940.84 ล้านบาท ประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงไปแล้ว 22 งวด โอนเงินแล้ว 19,368 ล้านบาท คิดเป็น 92.4% ของงบประมาณทั้งหมด
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบให้ขยายโครงการชะลอการขายข้าวเปลือกของชาวนา จากเดิมสิ้นสุดเดือน ก.พ. เป็นสิ้นเดือน เม.ย. และสิ้นเดือน ก.ค. 2563 สำหรับข้าวในภาคใต้ โดยเพิ่มยอดการชดเชยการชะลอขายข้าวจาก 1 ล้านตัน เป็น 1.5 ล้านตัน โดยชดเชยให้เกษตรกรที่เก็บสต๊อกข้าวตันละ 1,500 บาท ส่วนสถาบันการเกษตรหรือสหกรณ์จะชดเชยให้ตันละ 1,000 บาท และชดเชยให้เกษตรกรที่เก็บข้าวไว้กับสหกรณ์ตันละ 500 บาท และเพิ่มวงเงินจากเดิม 10,000 ล้านบาท เป็น 15,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ