“ศักดิ์สยาม”สั่งกทพ.เปิดเจรจาต่อสัญญาทางด่วน2 (รีพีทออร์เดอร์) ตามเงื่อนไขเดิมชี้BEM มีสิทธิ์ขยาย 2 ครั้งๆละ 10 ปี คู่ขนานชงครม.ต่อ15 ปี 8 เดือนยุติพิพาท 17 คดี ป้องกันถูกฟ้องหวั่นมติครม.ไม่ทัน29 ก.พ. พร้อมชงให้DSI สอบหาคนผิด
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยถึงการยุติข้อพิพาทระหว่าง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ว่า ตนได้ลงนามเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอน เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง เป็นต้น ซึ่งเป็นการต่อขยายสัญญาโครงการทางด่วน เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน เพื่อระงับข้อพิพาทคดีทางด่วนที่มีมูลค่าที่ 58,873 ล้านบาท โดยไม่มีการลงทุนก่อสร้างปรับปรุงทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) นั้น และจะไม่มีเรื่องข้อพิพาทเรื่องทางแข่งขัน และอื่นๆ อีก
พร้อมกันนี้ได้เสนอครม. เพื่อพิจารณาให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI ) เข้ามาดำเนินการสอบสวน หาผู้ที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดข้อพิพาท โดยยกขึ้นเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเรื่องนี้ มีบุคคล คณะบุคคล และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ที่กระทรวงคมนาคมไม่สามารถดำเนินการสอบสวนได้เอง จึงต้อง
“เรื่องนี้ต้องเข้าใจว่า ใครเป็นหนี้ ก็ต้องจ่าย ซึ่ง BEM ไม่มีหน้าที่ไปทวงหนี้จากผู้ที่ทำให้เกิดข้อพิพาท เพราะไม่ใช่คู่สัญญา จึงต้องฟ้องจากกทพ.ที่เป็นคู่สัญญา ซึ่งการต่อสัญญา 15 ปี 8 เดือน เป็นการยุติข้อพิพาท 17 คดี ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่า ผลของคดีจะเป็นอย่างไร แต่เราต้องการจบคดี และต่างฝ่ายก็ไม่มั่นใจผลของคดีในอนาคต ข้อสรุปทั้งหมดภาครัฐไม่ได้สูญเสีย เงื่อนไขยังคงได้รับส่วนแบ่งรายได้ 60% และตัวเลขที่ได้มา เป็นทางการผ่านหลักการคำนวณตามโปรแกรมมาตรฐาน”
@สั่งกทพ.เตรียมเจรจาต่อสัญญาเดิม” คู่ขนานป้องกันถูกฟ้อง หวั่นมติครม.ไม่ทัน29 ก.พ.
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า หากไม่จบข้อพิพาทด้วยการขยายสัญญา 15 ปี 8 เดือน ทาง BEM ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะต่อสัญญาเดิมออกไปอีก 2 ครั้ง ๆละ 10 ปี โดยอยู่ภายใต้การเจรจาตกลงกัน ซึ่งหากมีการต่อสัญญาเดิม จะต้องตัดเงื่อนไข ที่ทำให้เกิดข้อพิพาท เช่น ประเด็นทางแข่งขันและการปรับค่าผ่านทาง ซึ่งไม่ต้องร่างใหม่ จึงทำได้รวดเร็ว แต่หากสัญญาเดิมครบกำหนดวันที่ 29 ก.พ. 2563 แล้ว กทพ.จะยกเลิกสัญญา ขอทำเอง ทางเอกชนมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้ซึ่งผมไม่ให้เกิดเรื่องนี้แน่
ดังนั้น ในทางคู่ขนาน ตนได้ทำหนังสือเลขที่ 1099 ลงวันที่ 13 ก.พ. 2563 ถึง กทพ. เพื่อให้เปิดเจรจารีพีท ออร์เดอร์ สัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ซึ่งไปตามเงื่อนไขเดิมที่ให้สิทธิ์เอกชนสามารถต่อ สัญญาได้ 2 ครั้ง ๆละ 10 ปี โดยหาก มีมติครม.สำหรับการต่อสัญญา 15 ปี 8 เดือน ออกมาก่อนที่สัญญาเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 29 ก.พ. 2563 กทพ.ก็ปฎิบัติตามการเจรจาใหม่ เพื่อยุติข้อพิพาท และหยุดการเจรจา รีพีท ออร์เดอร์ แต่หากมติครม.ไม่ทันวันที่ 29 ก.พ. ก็ต้องทำรีพีท ออร์เดอร์
สำหรับ กรณีที่ นายวิชาญ เอกรินทรากุล รองผู้ว่าการฝ่ายกลยุทธ์และแผนงาน กทพ. ทำหน้าที่รักษาการตำแหน่งผู้ว่าการฯ กทพ.ยื่นลาออกจะส่งผลกระทบต่อการต่อสัญญาหรือไม่ นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ทราบว่า ลาออกเพราะมีปัญหาสุขภาพ ไม่เกี่ยวกับการต่อสัญญา
@ยันรัฐไม่เสียประโยชน์ ต่อสัญญา 15 ปี 8 เดือน ยุติ 17 คดีพิพาท
ซึ่งข้อพิพาทระหว่างกทพ.และBEM นั้น เป็นการผิดสัญญา 3 เรื่อง ที่เอกชนมีสิทธิ์ฟ้องร้อง คือ 1. กรณีทางแข่งขัน จากโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงอนุสรณ์สถาน-รังสิต 2. การปรับค่าผ่านทางทุก 5 ปี โดยอ้างอิง ดัชนีผู้บริโภค (CPI) ถึง 5% ซึ่งไม่ได้ปรับ เอกชนใช้สิทธิ์ฟ้องตามสัญญา3. การผิดสัญญา ในเรื่องการเช่าอาคารต่างๆ
ซึ่งเดิม มูลหนี้ฟ้องทั้งหมดกว่า 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อได้ตรวจสอบพบว่า ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน จึงให้คณะทำงานที่มีนายชยธรรม์ พรหมศร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นประธาน ศึกษา โดยใช้ข้อมูลจากกรมทางหลวง (ทล.) ตัวเลขปริมาณจราจร และค่าผ่านทาง บนดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วง อนุสรณ์สถาน-รังสิต ไปคำนวณ กับกรณีที่ไม่มี ดอนเมืองโทลล์เวย์ ปริมาณจราจรของทางด่วนและรายได้ของ ทางด่วน บางปะอิน-ปากเกร็ด เป็นอย่างไร ตัวเลขเป็นคณิตศาสตร์
ส่วนประเด็นค่าผ่านทางที่ควรปรับขึ้นนั้น มีตัวเลขที่เก็บสถิติ นำมาคำนวณ รวมตัวเลข 2 กรณีออกมาที่ประมาณ 7 หมื่นล้านบาทเศษ ขณะที่ครม.มีมติไม่ให้ชำระเป็นเงินสด โดยให้จ่ายเป็นระยะเวลา ดังนั้น จึงนำไปคำนวณในโปรแกรมแบบจำลอง eBUM คาดการณ์ นำตัวเลข 7 หมื่นล้านบาทเศษ ใส่ บนพื้นฐานมีการแบ่งรายได้ ให้กทพ.ระยะเวลาออกมาที่ 19 ปี 1 เดือน
จากนั้น จึงมีการเจรจาต่อรองกับ BEM เพื่อขอลดจำนวนหนี้ ลงเหลือ 15 ปี 8 เดือน และได้รับการยกเว้นค่าผ่านทางในวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตามมติครม. ประกาศ ตลอดเวลา 15 ปี 8 เดือน มีกว่า 300 กว่าวัน เท่ากับเหลือเวลาที่มีการเก็บค่าผ่านจริงที่ 14 ปี 10 เดือน
