ผู้จัดการรายวัน 360 - “ศักดิ์สยาม” เซ็นเสนอครม.เคาะต่อสัญญาโครงการทางด่วน 15 ปี 8 เดือน เพื่อยุติข้อพิพาท 17 คดี ลุ้นเข้าถครม. 18 ก.พ. กทพ.-BEM พร้อมเซ็นสัญญา เร่งยื่นศาลถอนคดี ให้เสร็จก่อน 29 ก.พ. ที่สัญญาด่วน 2 จะสิ้นสุดพอดี
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการต่อสัญญาทางด่วน เพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่าง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ว่า กทพ. ได้เสนอเรื่องมายังกระทรวงคมนาคม ให้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ลงนามและเสนอเรื่องไปยัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเสนอเรื่องไปยังเลขาคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา
โดยคาดว่า จะสามารถเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาได้ในวันที่ 18 ก.พ. เนื่องจากจะต้องสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ได้แก่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง ให้ครบถ้วนตามขั้นตอนก่อน
ทั้งนี้ หากครม. พิจารณาอนุมัติ ตามที่เสนอ ตามเงื่อนไขที่มีการเจรจากัน สัญญาจะมีผลก็ต่อเมื่อ ทั้งสองฝ่าย ต้องดำเนินการถอนฟ้องข้อพิพาทที่มีต่อกันทั้งหมด 17 คดีให้เรียบร้อย ซึ่งขณะนี้ทั้ง กทพ. และBEM ได้มีการเตรียมความพร้อมในการยื่นต่อศาลเพื่อขอถอนฟ้องทุกคดีแล้ว เนื่องจาก ข้อยุติจากการเจรจา มีความชัดเจนในเรื่องการต่อสัญญา 15 ปี 8 เดือน และการยุติข้อพิพาทโดยไม่มีภาระหนี้ต่อกัน ซึ่งคาดว่า จะสามารถดำเนินการในการถอนคดี แล้วเสร็จใน 1 สัปดาห์
“หาก ครม.มีมติเห็นชอบ ในวันที่ 18 ก.พ. คาดว่าจะเร่งลงนามสัญญา ระหว่างกทพ.และBEM ในวันที่ 19 ก.พ. เพื่อให้สัญญามีผลผูกพัน แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้จนกว่า ทั้งสองฝ่ายจะถอนฟ้องให้เรียบร้อย ดังนั้น เมื่อเซ็นสัญญา จะต้องเร่งไปถอนฟ้องทุกคดีทันที คาดว่าจะเรียบร้อยไม่เกินวันที่ 29 ก.พ. ซึ่งทำให้ สัญญามีผลบังคับใช้ตามเงื่อนไขทันที โดยไม่มีรอยต่อกับกรณีที่สัญญาเดิมหมดอายุ”นายชัยวัฒน์กล่าว
สำหรับการต่อขยายสัญญาโครงการทางด่วน เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน เพื่อระงับข้อพิพาทคดีทางด่วนที่มีมูลค่าที่ 58,873 ล้านบาท โดยไม่มีการลงทุนก่อสร้างปรับปรุงทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck ) นั้น จะมีทางด่วน 3 สัญญาที่เกี่ยวข้อง คือ การแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 , สัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน D) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน - ปากเกร็ด โดยต่อขยายระยะเวลาสัมปทานทั้ง 3 สัญญา ออกไปสิ้นสุดพร้อมกันในวันที่ 31 ตุลาคม 2578 (รวม 15 ปี 8 เดือน โดยให้นับจากวันที่สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน AB และ C สิ้นสุดลง เป็นหลัก )
ได้แก่ 1. การต่อสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน AB และ C ซึ่งสัญญาปัจจุบันจะสิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 ต่อสัญญาเป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน 2. การต่อสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D ซึ่งสัญญาปัจจุบันจะสิ้นสุดวันที่ 22 เมษายน 2570 เท่ากับ ขยายสัญญาออกไปเป็นระยะเวลา 8 ปี 6 เดือน3. การต่อสัญญาทางด่วนบางปะอิน - ปากเกร็ด ( C บวก) ซึ่งสัญญาปัจจุบันจะสิ้นสุดวันที่ 27 ก.ย. 2569 ขยายสัญญาออกไปเป็นระยะเวลา 9 ปี 1 เดือน
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการต่อสัญญาทางด่วน เพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่าง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ว่า กทพ. ได้เสนอเรื่องมายังกระทรวงคมนาคม ให้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ลงนามและเสนอเรื่องไปยัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเสนอเรื่องไปยังเลขาคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา
โดยคาดว่า จะสามารถเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาได้ในวันที่ 18 ก.พ. เนื่องจากจะต้องสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ได้แก่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง ให้ครบถ้วนตามขั้นตอนก่อน
ทั้งนี้ หากครม. พิจารณาอนุมัติ ตามที่เสนอ ตามเงื่อนไขที่มีการเจรจากัน สัญญาจะมีผลก็ต่อเมื่อ ทั้งสองฝ่าย ต้องดำเนินการถอนฟ้องข้อพิพาทที่มีต่อกันทั้งหมด 17 คดีให้เรียบร้อย ซึ่งขณะนี้ทั้ง กทพ. และBEM ได้มีการเตรียมความพร้อมในการยื่นต่อศาลเพื่อขอถอนฟ้องทุกคดีแล้ว เนื่องจาก ข้อยุติจากการเจรจา มีความชัดเจนในเรื่องการต่อสัญญา 15 ปี 8 เดือน และการยุติข้อพิพาทโดยไม่มีภาระหนี้ต่อกัน ซึ่งคาดว่า จะสามารถดำเนินการในการถอนคดี แล้วเสร็จใน 1 สัปดาห์
“หาก ครม.มีมติเห็นชอบ ในวันที่ 18 ก.พ. คาดว่าจะเร่งลงนามสัญญา ระหว่างกทพ.และBEM ในวันที่ 19 ก.พ. เพื่อให้สัญญามีผลผูกพัน แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้จนกว่า ทั้งสองฝ่ายจะถอนฟ้องให้เรียบร้อย ดังนั้น เมื่อเซ็นสัญญา จะต้องเร่งไปถอนฟ้องทุกคดีทันที คาดว่าจะเรียบร้อยไม่เกินวันที่ 29 ก.พ. ซึ่งทำให้ สัญญามีผลบังคับใช้ตามเงื่อนไขทันที โดยไม่มีรอยต่อกับกรณีที่สัญญาเดิมหมดอายุ”นายชัยวัฒน์กล่าว
สำหรับการต่อขยายสัญญาโครงการทางด่วน เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน เพื่อระงับข้อพิพาทคดีทางด่วนที่มีมูลค่าที่ 58,873 ล้านบาท โดยไม่มีการลงทุนก่อสร้างปรับปรุงทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck ) นั้น จะมีทางด่วน 3 สัญญาที่เกี่ยวข้อง คือ การแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 , สัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน D) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน - ปากเกร็ด โดยต่อขยายระยะเวลาสัมปทานทั้ง 3 สัญญา ออกไปสิ้นสุดพร้อมกันในวันที่ 31 ตุลาคม 2578 (รวม 15 ปี 8 เดือน โดยให้นับจากวันที่สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน AB และ C สิ้นสุดลง เป็นหลัก )
ได้แก่ 1. การต่อสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน AB และ C ซึ่งสัญญาปัจจุบันจะสิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 ต่อสัญญาเป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน 2. การต่อสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D ซึ่งสัญญาปัจจุบันจะสิ้นสุดวันที่ 22 เมษายน 2570 เท่ากับ ขยายสัญญาออกไปเป็นระยะเวลา 8 ปี 6 เดือน3. การต่อสัญญาทางด่วนบางปะอิน - ปากเกร็ด ( C บวก) ซึ่งสัญญาปัจจุบันจะสิ้นสุดวันที่ 27 ก.ย. 2569 ขยายสัญญาออกไปเป็นระยะเวลา 9 ปี 1 เดือน