“บี.กริม เพาเวอร์” เลื่อนเข้าตลาดหุ้นเป็นต้นปี 2560 โดยจะระดมทุนเพื่อคืนหนี้และขยายการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ โดยวางเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้ามีกำลังผลิตเพิ่มเป็น 5 พันเมกะวัตต์ จากปีนี้ที่ 1.62 พันเมกะวัตต์
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เลื่อนแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากเดิมปลายปีนี้เป็นในต้นปี 2560 โดยจะขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 30% ของทุนจดทะเบียน โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ส่วนหนึ่งจะใช้คืนหนี้เงินกู้บางส่วนและนำไปใช้ขยายกิจการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใน 5 ปีข้างหน้าเป็น 5 พันเมกะวัตต์ จากปีนี้มีกำลังการผลิต 1,627 เมกะวัตต์ โดยในช่วง 2 ปีข้างหน้า บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 5 โรง ได้แก่ โรงไฟฟ้าบ่อวิน ที่คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 2559 โรงไฟฟ้า ABPR3, ABPR4, ABPR5 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2561 และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ที่ประเทศลาวอีก 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าเซน้ำน้อย-เซกระตำ กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2560 ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มเป็น 2,060 เมกะวัตต์ในปี 2561
“ในปี 2563 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ 2,383 เมกะวัตต์ จากทั้งหมด 42 โรง จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 1,627 เมกะวัตต์ จาก 28 โรง คิดเป็นอัตราการเติบโต 46%ต่อปี โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นนี้จะใช้เงินลงทุน 5.9 หมื่นล้านบาท”
นางปรียนาถกล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ จะให้ความสำคัญในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ลาว พม่า อินโดนีเซีย เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 5 พันเมกะวัตต์ใน 5 ปีข้างหน้า โดยจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนจากปัจจุบัน 7% เป็น 24-30% ซึ่งสนใจลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังลม โซลาร์รูฟ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และชีวมวล เป็นต้น โดยบริษัทมีแผนลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำอีกหลายโครงการในลาว อาทิ โครงการเซกอง 4 ขนาด 400 เมกะวัตต์ ถือหุ้น 25% ร่วมกับ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้งอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้โครงการ เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 3 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้เพียง 2 พันล้านบาท โดยช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 1.34 หมื่นล้านบาท โตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 21% และมีกำไรสุทธิ 1.8 พันล้านบาท โตขึ้น 150% มาจากการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ใหม่เต็มปี 2 โรงและอีก 2 โรงเพิ่งเปิดเดินเครื่องในปีนี้ รวมทั้งพบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ และราคาก๊าซธรรมชาติที่ต่ำกว่าทำให้ต้นทุนค่าไฟลดลง และประหยัดค่าซ่อมบำรุงรักษา ฯลฯ