ทีพีซี เพาเวอร์ฯ ตั้งเป้าปี 62 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 140 เมกะวัตต์จากปีนี้ที่ 40 เมกะวัตต์ ดันรายได้และกำไรโต 3เท่าตัว ส่วนการชนะประมูลโครงการชีวมวล 3 จังหวัดชายแดนใต้ถึง 3โครงการรวม 26 เมกะวัตต์จะทำให้มีอำนาจต่อรองซื้อเชื้อเพลิงและกึ่งผูกขาดธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล
นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) (TPCH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าในปี 2562 จะมีผลการดำเนินงานทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะเติบโต 3 เท่าจากปีนี้ เนื่องจากมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นเป็น 140 เมกะวัตต์ จากปีนี้ที่มีกำลังการผลิตอยู่ 40 เมกะวัตต์ โดยไม่รวมโครงการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ
“บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 350 เมกะวัตต์ใน 5 ปีข้างหน้า แบ่งเป็นโครงการในประเทศจากโรงไฟฟ้าชีวมวล 200 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 40-50 เมกะวัตต์ ที่เหลือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ 100 เมกะวัตต์ โดยมองการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว 2-3 โครงการ”
นายเชิดศักดิ์กล่าวถึงการชนะประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าชีวมวลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 3 โครงการ รวม 26 เมกะวัตต์ว่า บริษัทได้เสนอลด FIT 80% ทำให้ค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3.2 บาท/หน่วย ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกของบริษัทฯ (ช้างแรก) ที่ได้มีค่าไฟ 3 บาท/หน่วย โดยโครงการนี้มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ประมาณ 15% และจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ในเดือน ธ.ค. 2561 โดยบริษัทเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความสำคัญในแง่ยุทธศาสตร์ เพราะคาดว่ารัฐจะไม่เปิดประมูลโรงไฟฟ้าใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ไปอีกนาน ทำให้บริษัทฯ ผูกขาดผลิตไฟฟ้าชีวมวลในภาคใต้ และมีอำนาจต่อรองในด้านเชื้อเพลิง คือ ไม้ยางพารา ส่งผลให้ราคาไม้ไม่ผันผวนมากนัก
“บริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ปัตตานี 1 ประมาณ 23 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้รับสัญญาซื้อขายไฟ (PPA) ในเดือน ก.ย.นี้ และโครงการปัตตานี 2 อีก 23 เมกะวัตต์ เมื่อรวมกับโครงการที่ประมูลได้อีก 26 เมกะวัตต์จะมีกำลังผลิตทั้งสิ้น 70 เมกะวัตต์ ในแง่ยุทธศาสตร์เราจะเป็นรายใหญ่ในพื้นที่ และเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ใหญ่ที่สุดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้” นายเชิดศักดิ์กล่าว