ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ.หัวทิ่มต่อเป็นเดือนที่ 2 หลังคนเริ่มกังวลภัยแล้งมากขึ้น และยังเจอปัจจัยลบถล่มซ้ำ ทั้ง สศช.หดเป้าจีดีพี เศรษฐกิจโลกผันผวน จีนทรุด ส่งออกชะลอตัว ราคาเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพเพิ่ม “ธนวรรธน์” ชี้ภัยแล้งทำให้เงินหายจากระบบ 7 หมื่นล้านถึง 1 แสนล้าน จี้รัฐเร่งอัดฉีดเงินด่วน
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือน ก.พ. 2559 ว่า ดัชนีได้ปรับตัวลดลงทุกรายการ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเท่ากับ 74.7 ลดจาก 75.5 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 5 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันเท่ากับ 54.7 ลดจาก 55.3 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 5 เดือนเช่นเดียวกัน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตเท่ากับ 82.7 ลดจาก 83.5 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 6 เดือน ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมเท่ากับ 63.5 ลดจาก 64.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำอยู่ที่ 69.7 ลดจาก 70.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเท่ากับ 90.7 ลดจาก 91.7
ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลง มาจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรและรายได้ที่ลดลง, สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจจาก 3–4% เป็น 2.8–3.8%, ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน, ตลาดหุ้นโลกผันผวน, สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพ, การส่งออกชะลอตัว, ราคาพืชเกษตร ทั้งข้าว ยางพารา และปศุสัตว์ตกต่ำ, ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งเบนซินและดีเซล, เงินบาทอ่อนค่า และค่าครองชีพยังอยู่ในระดับสูง
ส่วนปัจจัยบวกก็มีแต่ไม่สามารถทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นได้ เช่น กนง.มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% สศช.แถลงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2558 โต 2.8% และทั้งปี 2558 โต 2.8% ซึ่งได้รับผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และ SET Index ปรับตัวสูงขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ภัยแล้งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.พ. 2559 ปรับตัวลดลง และลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เพราะก่อนหน้านี้คนมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพสูง แต่ตอนนี้ได้เพิ่มความกังวลต่อสถานการณ์ภัยแล้งมากขึ้น
ทั้งนี้ ประเมินว่าปัญหาภัยแล้งจะมีผลกระทบต่อเม็ดเงินจากภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจประมาณ 7 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้กระทบต่อภาคเกษตรประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากทำนาปรังได้ลดลง และอาจรวมถึงการทำนาปีด้วย ส่วนภาคอุตสาหกรรม การค้าและการท่องเที่ยวคาดว่าน่าจะกระทบประมาณ 1-3 หมื่นล้านบาท เช่น โรงงานแปรรูปเกษตร เครื่องจักรกลการเกษตร โรงงานผลิตปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวน้ำตก และสวนน้ำ
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลมีวงเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง 8.7 หมื่นล้านบาท ถือเป็นแผนรับมือที่ดี แต่ต้องเร่งกระจายเม็ดเงินลงไปให้ได้ก่อนช่วงสงกรานต์ หรือเดือน เม.ย.-พ.ค. เพื่อให้ทันต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ให้โตได้ 3% ขึ้นไป หากทำได้มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะโต 3-3.5% ซึ่งศูนย์ฯ จะมีการประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอีกครั้งในวันที่ 24 มี.ค.นี้