เอสซีจี เคมิคอลส์ตั้งเป้ามาร์จิ้นปิโตรเคมีในช่วง 2-3 ปีนี้สดใส คาดสเปรดเม็ดพลาสติกอยู่ที่ 600-700 เหรียญสหรัฐ/ตัน หลังกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดน้อย เผยปีหน้าปริมาณการขายโตเล็กน้อยจากปีนี้โตขึ้นเกือบ 10% เหตุปิดซ่อมบำรุงประจำปีโรงระยองโอเลฟินส์และโรงงานเม็ดพลาสติกบางส่วน 1 เดือน พร้อมกับเร่งเดินหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม
นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ ในเครือปูนซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจปิโตรเคมีจะยังอยู่ในข่วงวัฏจักรราคาขาขึ้นต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ เนื่องจากกำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่เข้ามาสู่ตลาดโลกน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) เม็ดพลาสติกยังสูงต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 600-700 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยปีนี้คาดว่าสเปรดเม็ดพลาสติกโพลีเอทืลีน (PE) จะอยู่ที่ 700-750 เหรียญสหรัฐ/ตัน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 บริษัทฯ มีแผนหยุดซ่อมบำรุงประจำปีโรงระยองโอเลฟินส์ และโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกบางส่วนเป็นเวลา 30 วันหลังจากไม่ได้มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่มานาน 6 ปี ทำให้กำลังการผลิตบางส่วนหายไปบ้างแต่ไม่กระทบการจำหน่าย เนื่องจากมีการเก็บสต๊อกสินค้าไว้ล่วงหน้าในช่วงที่ปิดซ่อม ทำให้ปริมาณการขายในปีหน้าจะโตจากปีนี้เล็กน้อยหรือไม่โตขึ้นเลย ส่วนรายได้จากการขายขึ้นอยู่กับราคาเม็ดพลาสติกในช่วงนั้นๆ ไม่สามารถระบุชัดเจนได้ แต่มาร์จิ้นของกลุ่มธุรกิจนี้ยังดีต่อเนื่อง
นายชลณัฐกล่าวต่อไปว่า เนื่องจากแนวโน้มราคาขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมีทำให้บริษัทหันมาเดินเครื่องจักรให้เต็มที่ เว้นแต่บางโรงที่ต้องปิดซ่อมไป ขณะเดียวกัน ยังเน้นการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสนองความต้องการของตลาด โดยจะมุ่งไปยังตลาดสาธารณสุขและการแพทย์มากขึ้น โดยจะร่วมมือกับลูกค้าในการออกแบบ พัฒนาผลิตภัณฑ์ วิจัยการตลาด รวมทั้งหาวัตถุดิบให้เหมาะสมในการผลิตภัณฑ์เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อให้สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ (HVA) ให้สูงขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการผันผวนด้านราคาเม็ดพลาสติกในตลาดโลก
ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายจาก HVA คิดเป็นสัดส่วน 31% จากยอดขายรวม และคาดว่ายอดขายสินค้า HVA จะเพิ่มขึ้นอีก 2-3% ทุกปี
บริษัทได้ร่วมมือกับลูกค้าเพื่อพัฒนานวัตกรรมพลาสติกเพื่อวงการแพทย์ซึ่งอยู่ในเป้าหมาย โดยนำวัสดุพลาสติกมาใช้เป็นวัสดุทางเลือกเพื่อให้แพทย์ และผู้ป่วยได้ใช้งานอย่างสะดวก ปลอดภัยมากขึ้น อาทิ เฝือกพอลิเมอร์ ที่ออกแบบให้เข้ากับสรีระของผู้ป่วยทำให้รู้สึกสบายเนื่องจากมีรูพรุนระบายอากาศ มีสารป้องกันแบคทีเรียช่วยลดกลิ่น และน้ำหนักเบา รวมทั้งยังมีการพัฒนาเครื่องมือผ่าตัดโรคพังผืดรัดเส้นประสาทข้อมือ (นิ้วล็อก) เพื่อให้แพทย์ใช้งานได้ง่ายขึ้น น้ำหนักเบา ใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยจะเริ่มทำการตลาดในเร็วๆ นี้
“ตลาดวงการแพทย์และสาธารณสุขถือว่าเป็นตลาดใหญ่ เราจะมุ่งเจาะตลาดตรงนี้ โดยเราสนับสนุนการออกแบบ เอนจิเนียริ่ง การวิจัยและพัฒนาสินค้า ส่วนตลาดเป็นของลูกค้าเอกชน โดยเรามีการผลิตวัตถุดิบทั้ง PP PP PVC คิดเป็น 70% ของการใช้เม็ดพลาสติก โดยพลาสติกถือเป็นวัสดุทางเลือกที่มีโอกาสโตอีกมาก เช่น ขวดน้ำเกลือ เข็มฉีดยา สายยางในวงการแพทย์ เฝือก ถุงใส่เลือด เป็นต้น”
นายชลณัฐกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนามว่าขณะนี้ผู้รับเหมาได้ยื่นเสนอราคาประมูลก่อสร้างโครงการเข้ามาแล้ว โดยมีรายละเอียดค่อนข้างมากที่ต้องพิจารณา คาดว่าต้นปี 2559 จะมีความชัดเจนมูลค่าโครงการทั้งหมดได้ จากเดิมที่เคยประเมินมูลค่าโครงการทั้งสิ้นอยู่ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐหลังจากนั้นก็มีการเจรจากับสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศเพี่อปล่อยสินเชื่อโครงการดังกล่าว มั่นใจว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยโครงการนี้จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามนี้ถือเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของประเทศเวียดนาม ซึ่งจะช่วยทดแทนการนำเข้า และสร้างมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศ โดยทางเครือปูนซิเมนต์ไทยถือหุ้น 46% เวียดนาม 29% กาตาร์ 25%
นอกจากนี้ บริษัทพีที จันทรา แอสซรี ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% ที่อินโดนีเซีย อยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตโรงโอเลฟินส์และโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี ขณะที่โครงการลงทุนในประเทศนั้นได้มีการขยายกำลังผลิตวีซีเอ็มซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซีของ บมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (TPC) ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์เมื่อกลางปี 2558 ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง และกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สเปรดเม็ดพลาสติกพีวีซีปีหน้าอยู่ที่ 350-400 เหรียญสหรัฐ/ตัน
9 เดือนแรกปี 2558 เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 1.53 แสนล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะราคาผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ปรับตัวลงตามราคาน้ำมันดิบ แต่มีกำไร 2.09 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 135% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน