ASTVผู้จัดการรายวัน - ปูนซิเมนต์ไทยฟุ้งปีนี้กำไรพุ่งเกิน 4 หมื่นล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่ายอดขายปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อนเกือบ 10%เป็นผลมาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับลดลงตามทิศทางน้ำมัน แต่มาร์จินยังดี “กานต์”มั่นใจธุรกิจเคมีภัณฑ์จะยังเป็นพระเอกตัวจริงต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีขณะที่ความต้องการใช้ปูนปีหน้าโตขึ้นแน่ หลังจากปีนี้ไม่โตขึ้นเลย พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อแบรนด์”ตราช้าง”มาเป็น”เอสซีจี”เพื่อจดจำง่าย ด้านบอร์ดฯแต่งตั้ง”รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส”เป็นเอ็มดีคนใหม่ มีผลบังคับ1 ม.ค.59
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้ารายได้ลงเป็นต่ำกว่าปีก่อนเกือบ 10% มาอยู่ที่ 4.4แสนล้านบาท จากเป้าเดิม 4.9 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่กำไรสุทธิในปีนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์มั่นใจว่าทั้งปี2558 มีกำไรสุทธิสูงกว่า 4หมื่นล้านบาท
เนื่องจากผลการดำเนินงาน 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 33,951 ล้านบาท สูงกว่าปี57 ที่มีกำไรสุทธิ 33,615 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส4นี้อาจมีการขาดทุนจากสต็อกสินค้าน้อยลง หรืออาจจะมีกำไรจากสต็อกสินค้าแทน รวมทั้งรับรู้รายได้จากโรงปูนซีเมนต์ไลน์ที่2 ในกัมพูชา ขนาดกำลังผลิต 9 แสนตัน/ปีที่เริ่มผลิตเมื่อเดือนมิ.ย.นี้และโรงปูนขนาด1.8ล้านตันที่อินโดนีเซียเริ่มผลิตได้ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ไตรมาส4 นี้ จะมีกำไรสุทธิสูงกว่าไตรมาส3/58 ส่งผลให้ปีนี้บริษัทฯมีกำไรสูงสุด
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส3 /58 บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 110,898 ล้านบาท ลดลง 11% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง30% ตามราคาแนฟทา และราคาน้ำมัน และมีกำไรสุทธิ 9,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มาจากส่วนต่างราคาของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยรับรู้กำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ในไตรมาสนี้ 6,838 ล้านบาท แม้ว่าในระหว่างงวดจะมีขาดทุนจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำรวม 3,630 ล้านบาท เป็นการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (stock loss) 2,160 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,470 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานงวด9 เดือนของปี 2558 บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 333,992 ล้านบาท ลดลง 10 %จาก งวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 33,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 %จากงวดเดียวกันของปี ก่อน เนื่องจากธุรกิจ เคมีภัณฑ์มีผลการดำเนินงานดีขึ้น
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน ดังนั้นบริษัทฯจึงได้เปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าจากตราช้างเป็นเอสซีจี ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น เกิดการเชื่อมโยงสินค้ากับองค์กร ทำให้แบรนด์เอสซีจีมีความเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อก้าวสู่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกซึ่งที่ผ่านมา แบรนด์ตราช้างจะใช้ในไทยและลาว ขณะที่ประเทศอื่นๆในอาเซียนใช้แบรนด์เอสซีจีเป็นแบรนด์หลักในการทำตลาด
ทั้งนี้บริษัทฯได้มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม(HVA) สนองตามความต้องการของลูกค้า โดย9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมียอดขายสินค้าHVA 1.24 แสนล้านบาท คิดเป็น37%ของยอดขายรวม และ9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯใช้งบประมาณR&D ไปแล้ว 2.34 พันล้านบาทคิดเป็น 0.7% ของยอดขาย โดยใน2 ปีข้างหน้านี้ (2559-60) บริษัทตั้งงบประมาณR&Dไว้ที่ 1.5หมื่นล้านบาท
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ความต้องการใช้ปูนน่าจะทรงตัวหรือไม่โตขึ้นเลยจากปีก่อนอยู่ที่ 40ล้านตัน ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะโตขึ้น 3% โดยความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ไทยในไตรมาส3 นี้ได้อ่อนตัวลงติดลบ1% และไตรมาส4 นี้การใช้ปูนจะโต0-1% เทียบกับครึ่งปีแรกมีการใช้ปูนโต 0%แต่มั่นใจว่าปีหน้าความต้องการใช้ปูนจะโตขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องนโยบายภาครัฐส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ รวมทั้งนโยบายลดค่าธรรมเนียมการโอน-ค่าจดจำนอง และธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ขยายเพดานวงเงินกู้ และโครงการบ้านหลังแรกลดภาษีเงินได้20%ใน5ปีซึ่งจะทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์เกิดความมั่นใจเดินหน้าโครงการอสังหาฯเดิมและขึ้นโครงการใหม่ โดยจะเห็นความชัดเจนในปลายปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
นายกานต์ กล่าวว่า ธุรกิจเคมีภัณฑ์จะเป็นพระเอกต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีถึงปี 2561 ซึ่งแนวโน้มราคาและมาร์จินปิโตรเคมีจะดีขึ้นหลังจากกำลังการผลิตใหม่เข้ามาต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม ส่วนต้นทุนวัตถุดิบคือแนฟทาก็ยังต่ำอันเป็นผลสืบเนื่องจากราคาน้ำมัน ส่งผลให้ปีนี้ส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกกับวัตถุดิบ(แนฟทา)อยู่ที่ 700-750เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนามนั้น ขณะนี้ได้ให้ผู้รับเหมายื่นประมูลงานเข้ามา เบื้องต้นคาดว่ามูลค่าโครงการนี้จะสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากแนวโน้มราคารับเหมาก่อสร้างสูงขึ้น มั่นใจว่าไตรมาส1/2559 จะมีความชัดเจนการจัดหาแหล่งเงินกู้สำหรับโครงการนี้หลังจากนั้นจะเริ่มก่อสร้างและแล้วเสร็จในอีก5ปีข้างหน้า
“นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติแต่งตั้งนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนนายกานต์ ตระกูลฮุน ที่ครบกำหนดเกษียณอายุในสิ้นปีนี้”
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้ารายได้ลงเป็นต่ำกว่าปีก่อนเกือบ 10% มาอยู่ที่ 4.4แสนล้านบาท จากเป้าเดิม 4.9 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่กำไรสุทธิในปีนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์มั่นใจว่าทั้งปี2558 มีกำไรสุทธิสูงกว่า 4หมื่นล้านบาท
เนื่องจากผลการดำเนินงาน 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 33,951 ล้านบาท สูงกว่าปี57 ที่มีกำไรสุทธิ 33,615 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส4นี้อาจมีการขาดทุนจากสต็อกสินค้าน้อยลง หรืออาจจะมีกำไรจากสต็อกสินค้าแทน รวมทั้งรับรู้รายได้จากโรงปูนซีเมนต์ไลน์ที่2 ในกัมพูชา ขนาดกำลังผลิต 9 แสนตัน/ปีที่เริ่มผลิตเมื่อเดือนมิ.ย.นี้และโรงปูนขนาด1.8ล้านตันที่อินโดนีเซียเริ่มผลิตได้ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ไตรมาส4 นี้ จะมีกำไรสุทธิสูงกว่าไตรมาส3/58 ส่งผลให้ปีนี้บริษัทฯมีกำไรสูงสุด
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส3 /58 บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 110,898 ล้านบาท ลดลง 11% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง30% ตามราคาแนฟทา และราคาน้ำมัน และมีกำไรสุทธิ 9,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มาจากส่วนต่างราคาของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยรับรู้กำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ในไตรมาสนี้ 6,838 ล้านบาท แม้ว่าในระหว่างงวดจะมีขาดทุนจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำรวม 3,630 ล้านบาท เป็นการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (stock loss) 2,160 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,470 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานงวด9 เดือนของปี 2558 บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 333,992 ล้านบาท ลดลง 10 %จาก งวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 33,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 %จากงวดเดียวกันของปี ก่อน เนื่องจากธุรกิจ เคมีภัณฑ์มีผลการดำเนินงานดีขึ้น
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน ดังนั้นบริษัทฯจึงได้เปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าจากตราช้างเป็นเอสซีจี ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น เกิดการเชื่อมโยงสินค้ากับองค์กร ทำให้แบรนด์เอสซีจีมีความเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อก้าวสู่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกซึ่งที่ผ่านมา แบรนด์ตราช้างจะใช้ในไทยและลาว ขณะที่ประเทศอื่นๆในอาเซียนใช้แบรนด์เอสซีจีเป็นแบรนด์หลักในการทำตลาด
ทั้งนี้บริษัทฯได้มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม(HVA) สนองตามความต้องการของลูกค้า โดย9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมียอดขายสินค้าHVA 1.24 แสนล้านบาท คิดเป็น37%ของยอดขายรวม และ9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯใช้งบประมาณR&D ไปแล้ว 2.34 พันล้านบาทคิดเป็น 0.7% ของยอดขาย โดยใน2 ปีข้างหน้านี้ (2559-60) บริษัทตั้งงบประมาณR&Dไว้ที่ 1.5หมื่นล้านบาท
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ความต้องการใช้ปูนน่าจะทรงตัวหรือไม่โตขึ้นเลยจากปีก่อนอยู่ที่ 40ล้านตัน ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะโตขึ้น 3% โดยความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ไทยในไตรมาส3 นี้ได้อ่อนตัวลงติดลบ1% และไตรมาส4 นี้การใช้ปูนจะโต0-1% เทียบกับครึ่งปีแรกมีการใช้ปูนโต 0%แต่มั่นใจว่าปีหน้าความต้องการใช้ปูนจะโตขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องนโยบายภาครัฐส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ รวมทั้งนโยบายลดค่าธรรมเนียมการโอน-ค่าจดจำนอง และธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ขยายเพดานวงเงินกู้ และโครงการบ้านหลังแรกลดภาษีเงินได้20%ใน5ปีซึ่งจะทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์เกิดความมั่นใจเดินหน้าโครงการอสังหาฯเดิมและขึ้นโครงการใหม่ โดยจะเห็นความชัดเจนในปลายปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
นายกานต์ กล่าวว่า ธุรกิจเคมีภัณฑ์จะเป็นพระเอกต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีถึงปี 2561 ซึ่งแนวโน้มราคาและมาร์จินปิโตรเคมีจะดีขึ้นหลังจากกำลังการผลิตใหม่เข้ามาต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม ส่วนต้นทุนวัตถุดิบคือแนฟทาก็ยังต่ำอันเป็นผลสืบเนื่องจากราคาน้ำมัน ส่งผลให้ปีนี้ส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกกับวัตถุดิบ(แนฟทา)อยู่ที่ 700-750เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนามนั้น ขณะนี้ได้ให้ผู้รับเหมายื่นประมูลงานเข้ามา เบื้องต้นคาดว่ามูลค่าโครงการนี้จะสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากแนวโน้มราคารับเหมาก่อสร้างสูงขึ้น มั่นใจว่าไตรมาส1/2559 จะมีความชัดเจนการจัดหาแหล่งเงินกู้สำหรับโครงการนี้หลังจากนั้นจะเริ่มก่อสร้างและแล้วเสร็จในอีก5ปีข้างหน้า
“นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติแต่งตั้งนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนนายกานต์ ตระกูลฮุน ที่ครบกำหนดเกษียณอายุในสิ้นปีนี้”