ASTVผู้จัดการรายวัน - ปูนซิเมนต์ไทยลั่นปีนี้ฟันกำไรสูงสุดทุบสถิติเดิม หลังครึ่งปีแรกโชว์กำไรสุทธิเฉียด 2.5หมื่นล้านบาท มาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันต่ำทำให้ต้นทุนวัตถุดิบถูกตามไปด้วยดันมาร์จินสูงขึ้น พร้อมกับคงเป้ารายได้รวมปีนี้อยู่ที่ 4.8แสนล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกลดลง10% คาดยอดการใช้ปูนในประเทศโต3% หลังการใช้ปูนภาคการพาณิชย์เป็นบวก
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิสูงเป็นสถิติใหม่ จากเดิมปี56 ที่มีกำไรสุทธิ 3.65 หมื่นล้านบาท เนื่องจากครึ่งแรกปี58 มีกำไรสุทธิ 2.49หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 48%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายปีนี้ยังคงเป้าหมายไว้ที่ 4.8 แสนล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกรายได้จากการขายอยู่ที่ 223,094 ล้านบาท ลดลง10 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม
สาเหตุที่รายได้รวมในครึ่งแรกปีนี้ลดลง 10% เพราะราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง 30%จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง แม้ว่าปริมาณการขายสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงส่งผลให้ราคาแนฟทา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีปรับตัวลดลงตาม ทำให้ธุรกิจเคมีภัณฑ์ในครึ่งปีแรกมีมาร์จินในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก รวมทั้งยังมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 970 ล้านบาท ทำให้ครึ่งปีแรกของเอสซีจี เคมิคอลส์มีกำไรสุทธิ 14,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198% ขณะที่รายได้จากการขาย 101,592 ล้านบาท ลดลง 19% ส่วนเอสซีจี ซิเมนต์-วัสดุก่อสร้าง ครึ่งปีแรกมีรายได้จากการขาย92,744 ล้านบาท ลดลง 1% และมีกำไรสุทธิ 6,454 ล้านบาท ลดลง 15% ด้านเอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในครึ่งปีแรกมียอดขาย 34,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และกำไรสุทธิ 1,642 ล้านบาท ลดลง 23%
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/58 มีรายได้จากการขาย 113,818 ล้านบาท ลดลง 9% และมีกำไรสุทธิ 13,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มีกำไรไตรมาส2 นี้ 9,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306% นับเป็นการทุบสถิติกำไรสูงสุดของกลุ่มเคมีภัณฑ์
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มครึ่งหลังปี58 มาร์จินจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ยังดีต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง แต่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังดีอยู่ ขณะที่กำลังการผลิตใหม่ของโครงการปิโตรเคมีของโลกในช่วง 4-5 ปีนี้เพิ่มขึ้นน้อยมากแค่ 3-4%ต่อปี แต่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นปีละ4-5%ทำให้มาร์จินปิโตรเคมียังดีต่อเนื่องไปอีก 4ปีข้างหน้านี้
ส่วนตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศครึ่งแรกปีนี้ ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการใช้ปูนปรับตัวดี โดยไตรมาส2 ปียอดการใช้ปูนโตขึ้น 2% ดีกว่าไตรมาส1/58 ที่ติดลบ 2% เป็นผลมาจากโครงการก่อสร้างภาครัฐโตขึ้น 11% โครงการก่อสร้างเพื่อการพาณิชย์โตขึ้น 1% ส่วนโครงการภาคที่อยู่อาศัย ติดลบลดลงเหลือ 3%จากสัญญาณการฟื้นตัวดังกล่าว เสริมกับการเดินหน้าผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้ ความต้องการใช้ปูนจะโตขึ้น 5-6% ทำให้ทั้งปีความต้องการใช้ปูนในไทยโตขึ้น 3% ส่งผลให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
สำหรับตลาดต่างประเทศในไตรมาส2 นี้พบว่าความต้องการใช้ปูนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมียนมาร์ เพิ่มขึ้น 19% กัมพูชา 12%เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปูนเอสซีจีเป็นที่นิยมและยอมรับด้านคุณภาพ ทำให้การลงทุนโครงการต่างๆในอาเซียนเป็นไปตามแผน โดยโรงปูนที่กัมพูชาเริ่มเดินเครื่องผลิตสายที่2 แล้ว
และโรงปูนที่อินโดนีเซียคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายปีนี้ ส่วนโรงปูนในเมียนมาร์และลาวจะแล้วเสร็จในปี 2560
สำหรับธุรกิจเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากไทย ในไตรมาส2/2558อยุ่ที่ 2.57 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย จากตลาดวัสดุก่อสร้างอินโดนีเซียที่ชะลอตัวลงและการปรับลดลงราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ ส่วนครึ่งแรกปีนี้มีรายได้จากการขาย 4.98หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 23% ของรายได้รวม
“ ปีนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้จากการขายอยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกรายได้จะลดลง 10% แต่ครึ่งปีหลังจะมีรายได้จากโรงปูนแห่งใหม่ที่เสร็จทั้งกัมพูชา อินโดนีเซีย รวมทั้งการรับรู้รายได้จากธุรกิจที่เทคโอเวอร์มาด้วยหลายบริษัท ขณะที่กำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำนิวไฮไปแล้ว 2 ไตรมาส ทั้งปี
กำไรสุทธิทำนิวไฮแน่นอน”
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 34.88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นระดับค่าเงินบาทที่ดี ช่วยหนุนการส่งการออกของไทยมาก หลังจากที่ผ่านมา การส่งออกไทยติดลบ โดยล่าสุดพบว่ามีคำสั่งซื้อสินค้าช่วงไตรมาส4 แล้ว ขณะเดียวกันการใช้ปูนที่โตขึ้น เป็นสัญญาณบ่งชี้เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังนี้
ซึ่งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทุก 1 บาท/ดอลลาร์ บริษัทฯจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.2พันล้านบาท
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติจากจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2558ในอัตรา 7.50บาท/หุ้น โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27ส.ค. นี้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิสูงเป็นสถิติใหม่ จากเดิมปี56 ที่มีกำไรสุทธิ 3.65 หมื่นล้านบาท เนื่องจากครึ่งแรกปี58 มีกำไรสุทธิ 2.49หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 48%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายปีนี้ยังคงเป้าหมายไว้ที่ 4.8 แสนล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกรายได้จากการขายอยู่ที่ 223,094 ล้านบาท ลดลง10 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม
สาเหตุที่รายได้รวมในครึ่งแรกปีนี้ลดลง 10% เพราะราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง 30%จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง แม้ว่าปริมาณการขายสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงส่งผลให้ราคาแนฟทา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีปรับตัวลดลงตาม ทำให้ธุรกิจเคมีภัณฑ์ในครึ่งปีแรกมีมาร์จินในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก รวมทั้งยังมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 970 ล้านบาท ทำให้ครึ่งปีแรกของเอสซีจี เคมิคอลส์มีกำไรสุทธิ 14,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198% ขณะที่รายได้จากการขาย 101,592 ล้านบาท ลดลง 19% ส่วนเอสซีจี ซิเมนต์-วัสดุก่อสร้าง ครึ่งปีแรกมีรายได้จากการขาย92,744 ล้านบาท ลดลง 1% และมีกำไรสุทธิ 6,454 ล้านบาท ลดลง 15% ด้านเอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในครึ่งปีแรกมียอดขาย 34,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และกำไรสุทธิ 1,642 ล้านบาท ลดลง 23%
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/58 มีรายได้จากการขาย 113,818 ล้านบาท ลดลง 9% และมีกำไรสุทธิ 13,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มีกำไรไตรมาส2 นี้ 9,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306% นับเป็นการทุบสถิติกำไรสูงสุดของกลุ่มเคมีภัณฑ์
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มครึ่งหลังปี58 มาร์จินจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ยังดีต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง แต่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังดีอยู่ ขณะที่กำลังการผลิตใหม่ของโครงการปิโตรเคมีของโลกในช่วง 4-5 ปีนี้เพิ่มขึ้นน้อยมากแค่ 3-4%ต่อปี แต่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นปีละ4-5%ทำให้มาร์จินปิโตรเคมียังดีต่อเนื่องไปอีก 4ปีข้างหน้านี้
ส่วนตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศครึ่งแรกปีนี้ ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการใช้ปูนปรับตัวดี โดยไตรมาส2 ปียอดการใช้ปูนโตขึ้น 2% ดีกว่าไตรมาส1/58 ที่ติดลบ 2% เป็นผลมาจากโครงการก่อสร้างภาครัฐโตขึ้น 11% โครงการก่อสร้างเพื่อการพาณิชย์โตขึ้น 1% ส่วนโครงการภาคที่อยู่อาศัย ติดลบลดลงเหลือ 3%จากสัญญาณการฟื้นตัวดังกล่าว เสริมกับการเดินหน้าผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้ ความต้องการใช้ปูนจะโตขึ้น 5-6% ทำให้ทั้งปีความต้องการใช้ปูนในไทยโตขึ้น 3% ส่งผลให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
สำหรับตลาดต่างประเทศในไตรมาส2 นี้พบว่าความต้องการใช้ปูนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมียนมาร์ เพิ่มขึ้น 19% กัมพูชา 12%เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปูนเอสซีจีเป็นที่นิยมและยอมรับด้านคุณภาพ ทำให้การลงทุนโครงการต่างๆในอาเซียนเป็นไปตามแผน โดยโรงปูนที่กัมพูชาเริ่มเดินเครื่องผลิตสายที่2 แล้ว
และโรงปูนที่อินโดนีเซียคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายปีนี้ ส่วนโรงปูนในเมียนมาร์และลาวจะแล้วเสร็จในปี 2560
สำหรับธุรกิจเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากไทย ในไตรมาส2/2558อยุ่ที่ 2.57 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย จากตลาดวัสดุก่อสร้างอินโดนีเซียที่ชะลอตัวลงและการปรับลดลงราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ ส่วนครึ่งแรกปีนี้มีรายได้จากการขาย 4.98หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 23% ของรายได้รวม
“ ปีนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้จากการขายอยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกรายได้จะลดลง 10% แต่ครึ่งปีหลังจะมีรายได้จากโรงปูนแห่งใหม่ที่เสร็จทั้งกัมพูชา อินโดนีเซีย รวมทั้งการรับรู้รายได้จากธุรกิจที่เทคโอเวอร์มาด้วยหลายบริษัท ขณะที่กำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำนิวไฮไปแล้ว 2 ไตรมาส ทั้งปี
กำไรสุทธิทำนิวไฮแน่นอน”
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 34.88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นระดับค่าเงินบาทที่ดี ช่วยหนุนการส่งการออกของไทยมาก หลังจากที่ผ่านมา การส่งออกไทยติดลบ โดยล่าสุดพบว่ามีคำสั่งซื้อสินค้าช่วงไตรมาส4 แล้ว ขณะเดียวกันการใช้ปูนที่โตขึ้น เป็นสัญญาณบ่งชี้เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังนี้
ซึ่งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทุก 1 บาท/ดอลลาร์ บริษัทฯจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.2พันล้านบาท
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติจากจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2558ในอัตรา 7.50บาท/หุ้น โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27ส.ค. นี้