ปูนซิเมนต์ไทยเผยความต้องการใช้ปูนในประเทศช่วง 2 เดือนแรกติดลบ 2-3% ตามการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หลังการเบิกจ่ายงบรัฐล่าช้า ส่งผลให้ไตรมาสแรกปีนี้การใช้ปูนติดลบ โดยบริษัทฯ จะทบทวนยอดการใช้ปูนใหม่จากเดิมที่คาดว่าทั้งปีโต 5-6% ส่วนตลาดส่งออกยังดีอยู่ โดยปีนี้โรงปูนใหม่ทั้ง 2 แห่งในอินโดนีเซียและเขมรจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ส่วนธุรกิจเคมีภัณฑ์ยังมีมาร์จิ้นดีแม้ว่าต้นปีราคาเม็ดพลาสติกลดฮวบ 25%
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะทบทวนความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศใหม่จากเดิมที่คาดว่าจะโตจากปีก่อน 5-6% เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ติดลบ 2-3% ต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2557 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แม้ว่าช่วงเดือน มี.ค.นี้ความต้องการใช้ปูนเริ่มกระเตื้องดีขึ้น แต่คาดว่าไตรมาส 1/2558 ความต้องการใช้ปูนในประเทศโตติดลบ เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่โตขึ้น 4%
“บริษัทคาดหวังโครงการภาครัฐอย่างมากที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาการเบิกจ่ายงบประมาณช้าทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในช่วง 2 เดือนแรกนี้ติดลบ แต่เดือน มี.ค.นี้ดีขึ้นเยอะมาก คิดว่ามาจากการใช้จ่ายงบประมาณ มั่นใจว่าครึ่งปีหลังความต้องการใช้ปูนโตขึ้นอย่างแน่นอน เพราะมีการลงทุนโครงการใหญ่ของภาครัฐออกมา ทำให้บริษัทฯ ต้องรีวิวตัวเลขความต้องการใช้ปูนในประเทศที่คาดว่าโต 5-6% ใหม่หลังจากไตรมาส 1/2558”
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศจะไม่ดีอย่างที่คาดหมายไว้ แต่ตลาดส่งออกและราคาปูนส่งออกยังดีก็ดีอยู่ โดยความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในภูมิภาคนี้ดีหมดทั้งพม่าและกัมพูชาที่มีการส่งออกปูนจากไทยไปจำหน่ายโตขึ้น 10-11% รวมถึงบังกลาเทศและแอฟริกาซึ่งเป็นตลาดเดิมของบริษัทฯ ก็ยังมีความต้องการใช้ปูนอยู่มาก จึงไม่น่าเป็นห่วงในการทำตลาด แม้ว่าในครึ่งปีหลังจะมีกำลังการผลิตใหม่จากโรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ของ บมจ.ทีพีไอโพลีน (TPIPL) ออกสู่ตลาดก็ตาม เชื่อว่าการแข่งขันธุรกิจปูนซีเมนต์คงไม่รุนแรงขึ้นจากปัจจุบันที่แข่งขันรุนแรงอยู่แล้ว ซึ่งมั่นใจว่าทั้งปี 2558 ความต้องการใช้ปูนในประเทศโตขึ้นอย่างแน่นอนจากปีก่อนโต 0%
ส่วนธุรกิจวัสดุก่อสร้างในขณะนี้ความต้องการใช้ในประเทศก็ยังติดลบอยู่ต่อเนื่องจากปีก่อน แต่เป็นอัตราติดลบที่ลดลง พบว่าตลาดส่งออกวัสดุก่อสร้างก็ดีมาก บริษัทฯ ผลิตสินค้าไม่พอขาย
สำหรับธุรกิจเคมีภัณฑ์ พบว่าในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ราคาเม็ดพลาสติกปรับตัวลดลง24-25% เนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวลง แต่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงระดับ 650-680 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยปีนี้โรงงานปิโตรเคมีของบริษัทฯ เดินเครื่องจักรเต็มที่ และรับรู้รายได้จากโรงงานผลิตวีซีเอ็มของ บมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (TPC) ในเครือ SCC จะเดินเครื่องจักรผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือน เม.ย.นี้ แต่คาดว่าทั้งปีรายได้เอสซีจี เคมีคอลส์คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนที่มียอดขาย 2.48 แสนล้านบาท แต่มาร์จิ้นยังดีอยู่
ขณะที่กำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 3-4% และราคาน้ำมันดิบที่ลดลงทำให้แนฟทาซึ่งเป็นวัตถุดิบก็ปรับตัวลดลงด้วย ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง มาร์จิ้นดี ดังนั้นแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีจะยังดีต่อเนื่องไปถึงปี 2560-2561 รวมทั้งบริษัทได้มีการลงทุนและวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า (HVA) อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลประกอบการธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCC นับจากนี้ไปจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า แผนการลงทุน 5 ปีนี้ (2558-2562) จะใช้เงินลงทุน 2.5 แสนล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ลงทุนสร้างโรงปูนซีเมนต์ใหม่ 4 โรงในอาเซียนรวมทั้งโรงงานกระดาษ โดยไม่รวมงบลงทุนในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยโรงปูนซีเมนต์ที่อินโดนีเซียจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในครึ่งปีหลังนี้ และที่โรงปูนที่กัมพูชาจะทดลองเดินเครื่องจักรในปลายปี 2558 ปีถัดไปโรงปูนที่พม่าจะแล้วเสร็จ ส่วนโรงปูนใน สปป.ลาวคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2560 ดังนั้นผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2558 คาดว่าจะใกล้เคียงปีที่แล้ว