“ประจิน”ดันท่าเรือแหลมฉบังเป็นฮับอินโดจีน ภายใน10 ปี ไฟเขียว กทท.เร่งพัฒนาฃเฟส 3 ลงทุน 5.8 หมื่นล.รองรับเพิ่มอีก 8-10 ล้านทีอียู/ปีพร้อมเร่งพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ ผุดตึกใหม่ลงทุนพันล.ให้บริการ one stop service รวมกับศุลกากรลดเวลาออกของเหลือ 3 ชม. เผยท่าเรือเชียงของสินค้าหด หลังเปิดสะพานเชียงของ เร่งหาทางฟื้นฟูหากไม่ไหวจ่อปรับเป็นท่าเรือท่องเที่ยวแทนคาด 58 กทท.มีกำไรสุทธิ 5,300 ล้านบาท
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมกิจการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ที่ท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ว่า กทท.มีความจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถในทุกด้านเพื่อรองรับการขนส่งสินค้าให้ได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึงมองไปถึงการรองรับด้านขนส่งผู้โดยสารและด้านการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบัน กทท.ดูแลบริหารท่าเรือ 5 แห่ง โดยท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เป็นท่าเรือหลักมีปริมาณสินค้าในอันดับที่ 23 ของโลก และในอันดับต้นๆ ของเอเชีย ดังนั้นจึงได้มีการตั้งเป้าหมายให้ ทลฉ.เป็นศูนย์กลางอาเซียนหรือฮับอินโดจีนแหลมทอง ภายใน 5-10 ปี นับตั้งแต่ปี 2559 ดังนั้น กทท.จะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพทั้งการรองรับเรือที่มีขนาดต่างๆ เพื่อรับปริมาณตู้สินค้ามากขึ้น พัฒนาระบบไอทีให้ทันสมัย บริการสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ปลอดภัย ในขณะเดียวกันต้องพัฒนาท่าเรือสาขาใกล้เคียง เช่น ท่าเรือกรุงเทพ,มาบตาพุด,ระนอง ส่วนท่าเรือปากบาจะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งเป็นโครงข่าย รา จ.สตูล ซึ่งในเดือนพ.ค.นี้กรมเจ้าท่า (จท.) จะลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชนและจัดการศึกษา Strategy feasibility โดยได้รับงบศึกษา 50 ล้านบาท แล้วเสร็จใน 6 เดือน
ส่วนท่าเรือภูมิภาคนั้น ท่าเรือระนอง มีการเติบโตมากขึ้น และเป็นท่าเรือสำคัญในการเชื่อมสู่พม่าและอินเดีย ,ท่าเรือเชียงแสนมีการเติบโตที่ดีเช่นกัน แต่ท่าเรือเชียงของ มีตู้สินค้าลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบหลังเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ)ซึ่งกทท.จะต้องปรับปรุงการให้บริการเพื่อเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างไทย-ลาวให้ได้
นอกจากนี้ กทท.จะต้องเร่งรัดการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ,โครงการ ศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่แหลมฉบัง (SRTO) วงเงินลงทุน 2,500 ล้านบาทซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปลายปี 2559 และศึกษาแผนงานเพื่อเปิดให้เอกชนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริหารจัดการขนส่งทางเรือ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนหลายหมื่นล้านบาท โดยจะศึกษาจบภายใน 1-เดือนและเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ในเดือนก.ค.นี้
พลเรือเอกอภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) กทท.กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของกทท.คือเป็นฮับอินโดจีนใน 10 ปี ซึ่งจะต้องมีความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น การรถๆฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ให้มากขึ้น พร้อมกันนี้จะต้องเร่งพัฒนาด้านบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโต ทั้งนี้จะเร่งการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3โดยจะสรุปผลการศึกษาและผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเดือนมิ.ย.นี้จากนั้นจะเสนอไปที่กระทรวงคมนาคมและคนร. โดยทลฉ.เฟส 3 จะใช้เงินลงทุนประมาณ 85,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 35,000 ล้านบาท และระบบการให้บริการที่จะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนอีกประมาณ 50,000 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 8 ปี ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าเพิ่มขึ้น อีก 8-10ล้านทีอียูต่อปี จากปัจจุบันที่ เฟส 1 และเฟส 2 มีขีดความสามารถรองรับตู้สินค้าได้ 11 ล้านทีอียูต่อปี
ส่วนท่าเรือเชียงของนั้นมีปริมาณตู้สินค้าลดลงมากเนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ใช้รถยนต์ขนส่งข้ามสะพานเชียงของแทน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อฟื้นฟูให้มีสินค้ามาใช้มากขึ้น และหากไม่ดีขึ้น อาจจะเสนอปรับการให้บริการจากท่าเรือขนส่งสินค้าเป็นท่าเรือท่องเที่ยว โดยจะเสนอขอปรับบทบาทวัตถุประสงค์ของท่าเรือจากขนส่งสินค้าเป็นผู้โดยสาร
ส่วนท่าเรือกรุงเทพนั้นจะมีการพัฒนาการให้บริการโดยก่อสร้างเป็นอาคารใหม่บริษัท เพื่อให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ( One Stop Service) ทั้งการออกสินค้าการชำระค่าบริการและบริการของศุลกากรซึ่งจะลดระยะเวลาในการติดต่อของผู้ใช้บริการจากปัจจุบัน 1 วัน เหลือเพียง 3 ชั่วโมง โดยจะดำเนินการบนพื้นที่ 11 ไร่อยู่ในเขตรั้วท่าเรือ โดยอยู่ระหว่างศึกษาออกแบบ วงเงิน 30 ล้านบาทคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2560
สำหรับผลประกอบการท่าเรือในปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 13,800 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5,300 ล้านบาท สูงกว่าปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 5,171 ล้านบาทโดยในช่วง 2 ไตรมาส (ต.ค. 57- มี.ค. 58) มีกำไรสุทธิประมาณ 2,600 ล้านบาท โดยปริมาณตู้สินค้าท่าเรือกรุงเทพเพิ่มขึ้น 2% ท่าเรือแหลมฉบังเพิ่มขึ้น 4%
เปิดสรรหาผอ.กทท.คนใหม่ได้ตัวในต.ค. 58
พลเรือเอกอภิวัฒน์กล่าวถึงการสรรหาผู้อำนวยการกทท.ว่า จะเริ่มรับสมัครครั้งที่ 5 เร็วๆนี้ หลังจากการสรรหา 4 ครั้งที่ผ่านมายังไม่มีผู้ได้รับการสรรหา โดยครั้งที่ 1 ไม่มีผู้สมัคร ครั้งที่ 2 มีผู้สมัครแต่ไม่มีผู้ผ่านคุณสมบัติ ครั้งที่ 3 ไม่มีผู้สมัคร ครั้งที่ 4 มีผู้สมัคร 1 รายแต่ถอนตัวเนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ โดยคาดว่าการสรรหาครั้งที่ 5จะดำเนินการแล้วเสร็จและได้ผอ.กทท.คนใหม่ในเดือนต.ค.2558