การบินไทยทยอยขายเครื่องอีก 8 ลำตามแผนปลดระวางลดขนาดฝูงบิน “จรัมพร” ฟุ้งปฏิรูปบริษัทเดินหน้าได้ตามแผน เผย Q1/58 Cabin Factor กระเตื้องมาอยู่ที่ 76% สูงกว่าปี 57 คาดไตรมาส 2/58 (เม.ย.-มิ.ย.) Cabin Factor ไม่ต่ำกว่า 76% ยอมรับปัญหา บพ.ติด SSC ของ ICAO เครื่องบินถูกตรวจสอบถี่ขึ้น 4 เท่าจากการบินไปทั่วโลก
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การบินไทยที่มีนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน และรักษาการประธานบอร์ดการบินไทยเป็นประธาน วันนี้ (10 เม.ย.) มีมติอนุมัติให้การบินไทยขายเครื่องบินจำนวน 8 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินแอร์บัส A 300-633 จำนวน 5 ลำ และ A330-321 จำนวน 3 ลำ
ซึ่งเป็นไปตามแผนปลดระวางเครื่องบินจำนวน 22 ลำ โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2557 ได้ขายออกไปแล้ว 2 ลำ ทำให้ขณะนี้ขายแล้วรวม 10 ลำ และคาดว่าจะขายได้อีก 8 ลำภายในเดือนกรกฎาคมนี้ รวมเป็น 18 ลำ
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับราคาเครื่องทั้ง 22 ลำที่ปลดระวางให้มีราคาใกล้เคียงราคาตลาดแล้ว โดยทั้ง 8 ลำที่ขายได้ล่าสุดจะมีการส่งมอบให้ผู้ซื้อช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้
นายจรัมพรกล่าวว่า การทยอยขายเครื่องบินดังกล่าวเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การปฏิรูปบริษัท คือ การลดขนาดฝูงบิน ลดแบบเครื่องบินจาก 11 เหลือ 8 แบบ และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทได้ประกาศโครงการร่วมใจจากองค์กร (Mutual Separation Plan) หรือ MSP ซึ่งในปี 2558 ตั้งงบประมาณโครงการไว้ 5,500 ล้านบาท ซึ่งได้รับความร่วมมือดีจากพนักงาน คาดว่า 2-3 สัปดาห์จะประเมินผลได้ว่าจะมีจำนวนพนักงานเข้าโครวการเออร์ลีรีไทร์จำนวนเท่าไร
สำหรับความคืบหน้าแผนปฏิรูปนั้น ในเดือนมกราคมได้ทำการลดเส้นทางบินที่ขาดทุน เดือนกุมภาพันธ์ออกแผนเส้นทางบินฤดูร้อน เดือนมีนาคมมีการปลดระวางเครื่องบินและลดเส้นทางบิน เดือนเมษายนขายเครื่องบินที่ปลดระวางและการเออร์ลีรีไทร์ ซึ่งถือว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาแต่ละแผนมีการปฏิบัติที่ชัดเจนและคืบหน้า ส่วนกลยุทธ์การเพิ่มรายได้นั้น จะเห็นได้ว่าใน 3 เดือนแรกปี 58 มีอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 76% ขณะที่ปี 57 ทั้งปีที่มี Cabin Factor เฉลี่ย 68.9% เพิ่มขึ้นประมาณ 7% ถือว่ากระเตื้องขึ้นมาก และคาดว่าไตรมาส 2/58 (เม.ย.-มิ.ย.) จะมี Cabin Factor เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 76%
ขณะที่การลดค่าใช้จ่ายนั้น ตามแผนยังมีหลายเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน แผนการปรับองค์กร การบริหารทรัพย์สินและธุรกิจที่มีหน่วยธุรกิจต่างๆ ซึ่งจะชัดเจนปลายไตรมาส 2/58 โดยยังมั่นใจว่าสิ้นสุดแผนปฏิรูปในปี 2560 บริษัทจะมีกำไร โดยจะเริ่มเห็นกำไรในปี 2559 ประมาณ 70% ของกำไรที่จะเกิดขึ้นในปี 2560
สำหรับกรณีกรมการบินพลเรือน (บพ.) ของไทยถูกองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตรวจสอบตามโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight Audit Programme : USOAP) และพบข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญ (SSC) นั้น นายจรัมพรกล่าวว่า ผลกระทบขณะนี้คือ ตั้งแต่เดือนมีนาคมเครื่องบินของบริษัทจะถูกตรวจสอบค่อนข้างถี่มากขึ้นจากเดิมประมาณ 4 เท่า หรือจากประมาณ 5 ครั้งเป็น 20 ครั้งต่อเดือน จากประเทศที่บริษัททำการบินเข้าออก ทั่วโลกโดยการสุ่ม ซึ่งอาจจะทำให้เสียเวลาบ้างแต่ภาพรวมยังไม่กระทบต่อการให้บริการ มีแผนสำรองกรณีที่ บพ.ไม่สามารถแก้ไขและปลด SSC ได้ แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการดำเนินงานให้บริการอยู่ในระดับมาตรฐานสากลอยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาจากการตรวจเช็กถี่มากขึ้น
