“ประจิน” สั่งเร่งเปิดทดสอบระบบตั๋วร่วม ม.ค.-ก.พ. 59 นำร่องรถไฟฟ้า 3 สาย และทางด่วน และใช้กับระบบขนส่งทุกประเภทในปี 60-61 และเตรียมตั้งบริษัทร่วมทุน (CTC) เพื่อบริหารจัดการรายได้กลาง ยันค่าโดยสารขนส่งสาธารณะต้องลดลง เหตุระบบตั๋วร่วมทำให้ค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการด้านบุคลากรและจัดเก็บค่าโดยสารลดลงจาก 3% เหลือ1% ด้าน BTS ยันไม่มีปัญหาถ้าต้นทุนลดลงจริง
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดแผนเดินหน้าระบบตั๋วร่วมและมาตรฐานบัตร วันนี้ (12 มี.ค.) ว่า ได้เร่งรัดแผนการออกแบบติดตั้งและทดสอบให้แล้วเสร็จและสามารถใช้ระบบตั๋วร่วมนำร่องในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2559 โดยมีโครงการนำร่องคือ รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT, รถไฟฟ้าบีทีเอส, ทางด่วน 1 เส้นทาง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) รวมถึงรถเมล์ NGV ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และ BRTของกรุงเทพมหานคร (กทม.) และจะสามารถใช้บัตรใบเดียวเดินทางได้กับรถไฟฟ้าทุกสายและขนส่งทุกระบบ รวมถึงร้านค้าสะดวกซื้อและธนาคารต่างๆ ในปี 2560 -2561
ทั้งนี้ ระบบตั๋วร่วมจะทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกในการใช้บริการ ในขณะเดียวกันจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการขนส่งแต่ละรายลดลง โดยตามแผนจะมีการตั้งคณะกรรมการระดับนโยบายที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการขนส่งและกำหนดมาตรการและบทบาทของหน่วยงานระบบขนส่งและพิจารณากรอบอัตราค่าโดยสารร่วม ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อจัดตั้ง โดยเมื่อระบบขนส่งทุกประเภทใช้ระบบตั๋วร่วมหมดแล้ว บัตรมาตรฐานนี้จะมีโครงสร้างที่สามารถรองรับการจัดทำเที่ยวโดยสารร่วม (CTP-Common Trip Pass) รองรับการกำหนดค่าโดยสารพิเศษสำหรับกลุ่มเป้าหมายเช่น เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุได้
“เบื้องต้นได้เร่งรัดให้ปรับแผนการดำเนินงานจากเดิมที่จะมีการวางและพัฒนาระบบ 18 เดือน หรือประมาณเดือนสิงหาคม 2559 จึงจะทดสอบระบบได้ เป็นภายใน 10 เดือนหรือเริ่มทดสอบในเดือนมกราคม 2559 ซึ่งประชาชนใน กทม.มีหลายล้านคนประเมินว่าจะมีผู้ถือตั๋วร่วมจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งช่วงเริ่มต้นจะมีผู้โดยสาร BTS วันละ กว่า 7 แสนคน ผู้ใช้ทางด่วนอีกวันละแสนคน” พล.อ.อ.ประจินกล่าว
ด้านนายพีระพล ถาวรสุภเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า ผู้บริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม (CTC) นั้นหลักการจะจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด รัฐถือหุ้นไม่เกิน 50% เพื่อไม่ให้เป็นรัฐวิสาหกิจ โดยใช้วิธีลงทุนแบบรัฐร่วมทุนเอกชน (Public private Partnership : PPP) โดยร่วมทุน 3 ฝ่าย คือ 1. ภาครัฐ ถือหุ้นประมาณ 40% 2. ภาคเอกชนที่ให้บริการเดินรถไฟฟ้า เช่น บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS, บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL สัดส่วนประมาณ 20% 3. ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบ ซึ่งเป็นบริษัทจากต่างประเทศ สัดส่วนประมาณ 40% โดยใช้วิธีเปิดประกวดราคานานาชาติ (International Bidding) ซึ่งสัดส่วนหุ้นดังกล่าวยังไม่สรุป อยู่ระหว่างประเมินความเหมาะสม โดยในช่วงนี้ได้มีการตั้งหน่วยธุรกิจ (BU) ตั๋วร่วม ภายใต้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อให้ทำหน้าที่บริหารการให้บริการตั๋วร่วมก่อน
โดย CTC จะเป็นผู้ดำเนินการปรับปรุงระบบตั๋วร่วมให้ และคิดค่าบริการในการบริหาร บำรุงรักษาและจัดเก็บรายได้กลาง หรือค่าธรรมเนียมการใช้ (Transaction Fee) จากผู้ประกอบการขนส่งแต่ละรายประมาณ 1% ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนบุคลากรและค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บค่าโดยสารของผู้ประกอบการแต่ละรายในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่กว่า 3% ของค่าใช้จ่ายรวม ดังนั้น เมื่อผู้ประกอบการขนส่งประหยัดค่าใช้จ่ายลงจะสามารถลดค่าโดยสารลงได้ โดยเฉพาะค่าแรกเข้าประมาณ 15 บาท จะต้องมีการพิจารณาว่าจะปรับลดลงได้อย่างไร นอกจากนี้ CTC จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมในการใช้งานร่วมกับร้านค้าซึ่งจะเจรจากันในรูปแบบธุรกิจ โดยค่าธรรมเนียมสูงกว่าของระบบขนส่ง
ทั้งนี้ คาดว่า CTC จะมีวงเงินลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท โดยจะเป็นค่าปรับปรุงระบบรวม 244 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าปรับปรุงระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT 80 ล้านบาท, ระบบ BTS 60 ล้านบาท รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ 60 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นเงินทุนหมุนเวียน และค่าบริหารจัดการอีกกว่า 160 ล้านบาทต่อปี และค่าจัดตั้งสำนักงาน เป็นต้น
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS กล่าวว่า การลดค่าโดยสารลงหลังใช้ระบบตั๋วร่วมนั้นจะต้องหารือกันและดูข้อเท็จจริงในหลายองค์ประกอบ เช่น ค่าใช้จ่ายของบริษัทลดลงจริงหรือไม่ ถ้าลดก็มีโอกาสที่จะลดค่าโดยสารลง ซึ่งตามสัญญาสัมปทานนั้นมีการกำหนดโครงสร้างค่าโดยสารไว้ แต่การปรับลดลงเป็นเรื่องการบริหารจัดการ ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ลดค่าโดยสารครึ่งราคาให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีระบุในสัญญา
โดย สนข.ได้ลงนามสัญญาโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) ระบบตั๋วร่วม วงเงิน 338 ล้านบาท กับกลุ่มบีเอสวี (BSV) ประกอบด้วย BTS, บริษัท สมาร์ททราฟฟิค จำกัด และบริษัท วิกซ์ โมบิลิตี้ จำกัด เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 และเริ่มงานเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ทำการออกแบบ ติดตั้ง และทดสอบระบบ 18 เดือน จากนั้นจะเป็นการบำรุงรักษา 24 เดือน รวม สัญญา 42 เดือน