“อาคม” กำชับ ขบ.เร่งตรวจสภาพรถแท็กซี่แสนคัน ยกระดับคุณภาพมาตรฐานบริการก่อนออกประกาศค่าโดยสารใหม่ภายใน ธ.ค.นี้ ตั้งเงื่อนไขหลังปรับมิเตอร์ระยะแรก 6 เดือนหากพบการร้องเรียนลดลงไม่ถึง 50% อาจไม่ให้ปรับระยะที่ 2 โดยเฉพาะการปฏิเสธผู้โดยสาร พร้อมเล็งปรับสถานีขนส่งเทียบชั้นสนามบินและเข้มงวดการออกใบขับขี่ สร้างวินัยขับขี่ลดอุบัติเหตุ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและให้นโยบายกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) วันนี้ (10 พ.ย.) ว่า คาดว่าภายในเดือนธันวาคมนี้กระทรวงคมนาคมจะสามารออกประกาศกระทรวงฯ กำหนดอัตราค่าโดยสารแท็กซี่มิเตอร์ใหม่ได้ โดยขณะนี้ได้กำชับให้ ขบ.เร่งดำเนินการตรวจสอบสภาพรถแท็กซี่ที่มีกว่า 1 แสนคัน ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และให้ทันกับการประกาศค่าโดยสารใหม่ ซึ่งนอกจากสภาพรถต้องเป็นไปตามระเบียบแล้วจะเพิ่มในเรื่องความสะอาด กลิ่น เบาะที่นั่ง ระบบปรับอากาศในห้องโดยสาร ฯลฯ ต้องสมบูรณ์ พร้อมมีป้ายแจ้งถึงทะเบียนและผู้ขับขี่ชัดเจนก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ปรับค่าโดยสารในระยะที่ 1 ประมาณ 8% ได้ จากนั้นภายใน 6 เดือนจะมีการประเมินผลการให้บริการโดยดูจากการร้องเรียนบริการ หากลดลงไม่ถึง 50% เช่น การปฏิเสธรับผู้โดยสาร ความสะอาด สภาพรถ จะถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่อาจจะไม่ได้รับการปรับค่าโดยสารในระยะที่ 2
ทั้งนี้ มีแท็กซี่มาตรวจสภาพแล้วกว่า 3,500 คัน ผ่าน76% โดยแท็กซี่ที่ผ่านเกณฑ์ ขบ.จะติดซิลค์ตะกั่ว และเมื่อประกาศค่าโดยสารใหม่ จะสามารถไปปรับจูนมิเตอร์ใหม่กับ 20 บริษัทเจ้าของมิเตอร์ และจะได้รับสติกเกอร์สีเขียวติดที่กระจกซ้ายด้านบนแสดงชัดเจน ส่วนแท็กซี่ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ตรวจคุณภาพนั้นจะไม่สามารถปรับราคาได้ โดย ขบ.จะมีมาตรการตรวจสอบเพื่อไม่ให้แท็กซี่เหล่านั้นแอบปรับค่าโดยสาร และต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยตรวจสอบด้วย
“ปัจจุบันแท็กซี่ถือเป็นธุรกิจบริการข้ามชาติที่ต้องมีการยกระดับมาตรฐานบริการ ซึ่งที่ผ่านมาการปรับค่าโดยสารจะทำครั้งเดียวแล้วไม่มีการติดตาม แต่ครั้งนี้กระทรวงคมนาคมปรับ 2 ระยะเพื่อติดตามบริการก่อนหากไม่ดีจะไม่ให้ปรับระยะที่ 2 เพราะผู้ใช้บริการต้องการรถที่ดีมีคุณภาพเท่าเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว และหากบริการดีมีคุณภาพต่อไปไม่ต้องมีการกำกับเรื่องราคาเพราะจะเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม เป้าหมายของคมนาคมคือ ยกระดับบริการและให้แท็กซี่เป็นอาชีพที่สังคมยอมรับมากกว่า ใครๆ ก็ขับได้เหมือนในตอนนี้” นายอาคมกล่าว
นอกจากนี้ ได้มอบนโยบายให้ ขบ.ปรับปรุงยกระดับคุณภาพการให้บริการด้านการขนส่งต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยในการเปิด AEC โดยเฉพาะวินัยการขับขี่ที่เป็นเรื่องพื้นฐาน เพิ่มมาตรฐานในการออกใบอนุญาตขับรถและการจดทะเบียนรถยนต์ ซึ่งจากสถิติจำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนทั่วประเทศรวมถึง 35.65 ล้านคัน แบ่งเป็นรถส่วนตัวและรถจักรยานยนต์ 34 .5 ล้านคัน เป็นรถโดยสารสาธารณะและรถขนส่งอีก 1.1 ล้านคันถือว่ามีจำนวนมาก รวมถึงพัฒนาโรงเรียนสอนขับรถยนต์ และศูนย์ฝึกคนขับรถโดยสารสาธารณะที่ จ.ชัยภูมิ ส่วนสถานีขนส่งในต่างจังหวัดจะปรับคุณภาพอาคารผู้โดยสารให้เทียบเท่ากับเทอร์มินอลสนามบินนำร่องที่ จ.บึงกาฬและ จ.พังงา ในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ขบ.จะต้องตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ AEC ซึ่งมีข้อตกลงการเดินรถข้ามประเทศทั้งรถโดยสารและรถบรรทุกกำหนดโควตารถตามกรอบ GMS และ AEC โดยจะขยายการให้บริการและแผนการพัฒนาการจัดระเบียบรถเข้า-ออก การตรวจสอบเอกสารและการตรวจสอบใบขับขี่จะต้องเข้มงวดเพื่อให้มีระบบและไม่มีอุปสรรคในด้านกฎหมายที่จะลงโทษผู้กระทำผิดและระบบประกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจะต้องใช้กฎหมายรูปแบบเดียวกัน เช่น เมื่อเกิดเหตุมีการกระทำผิดในประเทศไหนให้ใช้กฎหมายของประเทศนั้นๆ
