“ประจิน” เห็นชอบปรับขึ้นค่าแท็กซี่มิเตอร์ดีเดย์ 5 พ.ย.57 โดยคงค่าแรกเข้า 35 บาทเท่าเดิม แต่จะปรับลดระยะทางในแต่ละช่วงให้สั้นลง และปรับช่วงติดจอดนิ่ง เพื่อเป็นธรรมต่อให้คนนั่งสั้นและกลาง ดันรายได้แท็กซี่ไม่ต่ำกว่า 300 บาทต่อวัน โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการปรับปรุงสภาพรถ แอร์ กลิ่น มารยาทคนขับ ห้ามปฏิเสธผู้โดยสาร สั่ง ขบ.จัดทีมตรวจจับเข้มข้น ภายใน 30 วัน ก่อนออกใบรับรองมีสิทธิใช้อัตรามิเตอร์ใหม่ ส่วนเจ้าของอู่ต้องทำสัตยาบันห้ามขึ้นค่าเช่าช่วยอีกทาง
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เห็นชอบในหลักการในการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารแท็กซี่มิเตอร์แล้ว โดยจะคงอัตราแรกเข้าที่ 35 บาทไว้ แต่จะมีการปรับลดระยะทางในแต่ละช่วงให้สั้นลง ซึ่งปัจจุบันกำหนดระยะทางช่วง กม.ที่ 2-กม.ที่ 12 และ กม.ที่ 12-กม.ที่ 20 เป็นต้น และปรับอัตราในช่วงที่รถติดและจอดนิ่ง เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้โดยสารที่ใช้บริการระยะทางสั้นและกลาง โดยอัตราที่ปรับใหม่นั้นจะต้องความเหมาะสมไม่ทำให้ผู้โดยสารเดือดร้อน ในขณะเดียวกัน จะทำให้ผู้ประกอบการนั้นอยู่ได้โดยมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 300 บาทต่อวัน โดยผู้ประกอบการต้องปรับปรุงการให้บริการตามเงื่อนไขให้เรียบร้อยภายใน 30 วัน หลังจากสรุปโครงสร้างค่ามิเตอร์ใหม่ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ หรือเท่ากับจะสามารถปรับอัตราค่าแท็กซี่ใหม่ได้ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2557
โดย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จะประสานกับกระทรวงพลังงาน เพื่อสรุปข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของต้นทุนค่าพลังงานให้เรียบร้อยภายในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ทั้งนี้ เงื่อนไขที่ผู้ประกอบการแท็กซี่ต้องปรับปรุงให้เรียบร้อยภายใน 30 วัน นับจากวันที่ 5 ตุลาคม คือ 1.ปรับปรุงสภาพรถให้ดีขึ้น มีสภาพตามมาตรฐาน ทั้งแอร์ ความสะอาด กลิ่น 2.ปรับปรุงมารยาทคนขับให้มีวินัย ซึ่งการการขนส่งทางบก (ขบ.) จะจัดเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครลงตรวจสอบอย่างเข้มข้น 3.จัดที่จอดรถเพิ่มเติมเพื่อลดการวิ่งรถเปล่าในการหาผู้โดยสาร 4.กรณีปฏิเสธรับผู้โดยสารนั้น นอกจากมีศูนย์รับร้องเรียน ขบ. ตำรวจ และกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะทำงานร่วมกันเพื่อตรวจจับ 5.ทำข้อตกลง หรือสัตยาบันกับเจ้าของอู่แท็กซี่ให้คงอัตราค่าเช่ารถ เพื่อลดต้นทุนคนขับรถ และคงอายุรถแท็กซี่ที่ไม่เกิน 9 ปีตามเดิม
ทั้งนี้ แท็กซี่ที่มีการปรับปรุงตามเงื่อนไข จะได้รับใบรับรองเป็นสติกเกอร์ยืนยันว่าได้ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานแล้ว เหมาะสมที่จะให้ปรับอัตราค่ามิเตอร์ ส่วนรายที่ไม่ปรับปรุง นอกจากจะไม่รับใบรับรองแล้วอาจจะถูกเพิกถอนไม่ให้วิ่งรับส่งได้ ซึ่งการปรับอัตรามิเตอร์แท็กซี่นั้นอยู่ในอำนาจของ รมว.คมนาคม ในการอนุมัติได้ แต่จะต้องมีการประกาศล่วงหน้าก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการคืนความสุขให้แก่ผู้ประกอบการแท็กซี่ที่ถือเป็นประชาชนเหมือนกัน เนื่องจากค่ามิเตอร์แท็กซี่ใช้อัตรานี้มาตั้งแต่ปี 2535 กว่า 20 ปีแล้วที่ไม่มีการปรับ
โดยปัจจุบัน มีรถแท็กซี่ทั้งหมดประมาณ 1.11 แสนคัน ซึ่งเป็นรถที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 7 หมื่นกว่าคัน เป็นรถที่ใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง ประมาณ 3 หมื่นกว่าคัน ซึ่งได้กำชับให้เร่งปรับรถใช้ก๊าซแอลพีจีมาเป็นใช้ก๊าซเอ็นจีวีให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงเนื่องจากก๊าซแอลพีจี มีอันตรายสูงกว่ารถที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวี โดยในพื้นที่ กทม.นั้น ทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่าไม่มีปัญหาเรื่องสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวี