นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า วันที่ 9 ก.ย.นี้จะเข้าไปที่กระทรวงพลังงานเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หลังจากนั้นจะหารือกับผู้บริหารกระทรวงฯเพื่อรังฟังนโยบายต่างๆก่อนที่จะแถลงนโยบายอย่างเป็นทางการวันที่ 12 ก.ย. อย่างไรก็จะยึดแนวทางการสานงานต่อของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในเรื่องของการเดินหน้าปฏิรูปพลังงานโดยเฉพาะการปรับโครงสร้างราคาพลังงานต่างๆ ให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายทั้งราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV ราคาน้ำมัน เพราะสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานว่า จะขอรับนโยบายการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีให้ชัดเจนโดยเฉพาะราคาแอลพีจีภาคขนส่งจะมีการปรับให้เท่าครัวเรือนหรือไม่ซึ่งการปรับไม่ต้องดำเนินการอะไรมากยกเว้นจะมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนท่อขนส่งน้ำมันภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คาดว่าแล้วเสร็จในเดือนต.ค.-พ.ย. โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันต่างจังหวัดหน้าคลังลดลงได้ในระยะยาว
นายคุรุจิต นาครทรรพ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า ในส่วนของกรมฯ มีนโยบายสำคัญที่รอการตัดสินใจจาก รมว.พลังงาน 2-3 เรื่อง คือ การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ครั้งที่ 21 การต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียมรายเดิม และการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องรอการพิจารณาในระดับนโยบายทั้งหมด เป็นต้น
นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายแท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงพลังงานเพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับการปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งหลังจากมีกระแสข่าวว่าจะปรับขึ้นมาให้เท่ากับภาคครัวเรือนเนื่องจากปัจจุบันแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีมีอยู่ประมาณ 1 หมื่นคันซึ่งจะได้รับผลกระทบเพราะส่วนใหญ่วิ่งในเขต กทม.ชั้นใน
“ แม้ว่ากระทรวงพลังงานอาจมีมาตรการเยียวยาคือการอาจให้บัตรส่วนลดราคาเหมือนกับกรณี NGV แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าทางปฏิบัติจะได้หรือไม่เพราะก่อนหน้าที่เคยหารือพบว่าปั๊มแอลพีจีส่วนใหญ่ไม่ใช่ของปตท.ต่างจากNGV หากจะต้องไปติดตั้งอุปกรณ์หรือการลงทุนเพิ่มจะทำได้จริงหรือเปล่า อย่างไรก็ตามหากจำเป็นจะต้องขึ้นจริงๆก็ขอให้มีมาตรการเยียวยาที่ปฏิบัติได้จริงด้วย” นายวิฑูรย์กล่าว
นอกจากนี้หากเป็นไปได้รัฐบาลปัจจุบันควรวางแผนและกำหนดให้ชัดไปเลยระยะยาวไม่ใช่ขึ้นๆ ลงๆ ราคาพลังงานเหมือนเช่นที่ผ่านมาและควรหารือกับกระทรวงคมนาคมไปพร้อมๆ กัน โดยหากจะขึ้นราคาแอลพีจีให้สะท้อนต้นทุนจริงถ้าไม่มีมาตรการเยียวยา ก็ขอให้ปรับค่ามิเตอร์ได้หรือหรือทำทั้งสองอย่าง เพราะค่ามิเตอร์ปัจจุบันนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากว่า 10ปีแล้วแต่ขณะที่สินค้าอุปโภค บริโภค แม้แต่ค่าแรงขั้นต่ำก็ปรับขึ้นไปหมด
“รถแท็กซี่จากราคา 5-6 แสนบาทก็ปรับมาเป็น 8 แสนกว่าบาททำให้มีการขึ้นค่าเช่าแท็กซี่ แต่มิเตอร์กลับไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้วกฏหมายก็บังคับว่าห้ามปฏิเสธผู้โดยสารแต่ไม่ได้คำนึงว่าบางพื้นที่วิ่งไปแล้วรถติดเท่ากับเขาขาดทุนเผลอๆ ผู้โดยสารรถติดทิ้งแท็กซี่ไว้ก็มี นี่ก็ยิ่งขาดทุนไปกันใหญ่ เพราะต้นทุนแท็กซี่ชั่วโมงละ130 บาทแต่หากรถติดค่ามิเตอร์ขึ้น1.50 บาทต่อนาทีติดแค่ครึ่งชั่วโมงก็เริ่มขาดทุนแล้ว ดังนั้นรัฐบาลควรจะมองในภาพรวมทั้งเรื่องพลังงาน และอัตราค่ามิเตอร์ที่เหมาะสมซึ่งจะเป็นแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้” นายวิฑูรย์กล่าว
**ขาหุ้นทำทหารต้องถอยตั้งหลัก
เมื่อเวลา 05.00 น. วานนี้(7 ก.ย.) "ขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน" ออกเดินเท้าจากอ.ละแม เข้าสู่อ.หลังสวน จ.ชุมพร จนเวลา 10.30 น. จึงเข้าสู่ตลาดสด เขตเทศบาลเมืองหลังสวน โดยนางแสงนภา สุทธิภาค อายุ 50 ปี และนางยุพิน ใจเย็น อายุ 41 ปี พร้อมเครือข่ายออกเดินเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 3 คน เพื่อแจกจ่ายเอกสาร ท่ามกลางความสนใจของชาวบ้าน
ต่อมา พ.อ.พิเศษ สุรินทร์ เกตุแก้ว รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบก(จทบ.)ชุมพร พร้อมสารวัตรทหาร ได้เข้าไปพูดคุยกับนางแสงนภาและนางยุพิน เพื่อขอให้ยุติการเดินรณรงค์ พร้อมแนะนำให้ใช้ช่องทางการแสดงออกผ่านสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กำลังดำเนินการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นเวทีที่จะได้เสนอความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ และไม่ผิดกฎหมาย
แต่นางแสงนภา อธิบายว่าออกมาเดินรณรงค์ก็เพื่อต้องการให้มีการปฏิรูประบบพลังงานของประเทศทั้งระบบให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพราะปัจจุบันเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า โดยเฉพาะน้ำมันที่เป็นผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ อีกทั้งไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพราะเดินกันกลุ่มละ 2-3 คนเท่านั้น จึงไม่ขัดกับประกาศกฎอัยการศึก
หลังจากพูดคุยกันเกือบ 30 นาที ก็เริ่มมีชาวบ้านมามุงดูเหตุการณ์มากขึ้น ทำให้ พ.อ.พิเศษเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์บานปลาย จึงได้เดินทางกลับไป ขณะขาหุ้นได้ออกเดินรณรงค์ต่อไป.
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานว่า จะขอรับนโยบายการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีให้ชัดเจนโดยเฉพาะราคาแอลพีจีภาคขนส่งจะมีการปรับให้เท่าครัวเรือนหรือไม่ซึ่งการปรับไม่ต้องดำเนินการอะไรมากยกเว้นจะมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนท่อขนส่งน้ำมันภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คาดว่าแล้วเสร็จในเดือนต.ค.-พ.ย. โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันต่างจังหวัดหน้าคลังลดลงได้ในระยะยาว
นายคุรุจิต นาครทรรพ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า ในส่วนของกรมฯ มีนโยบายสำคัญที่รอการตัดสินใจจาก รมว.พลังงาน 2-3 เรื่อง คือ การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ครั้งที่ 21 การต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียมรายเดิม และการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องรอการพิจารณาในระดับนโยบายทั้งหมด เป็นต้น
นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายแท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงพลังงานเพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับการปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งหลังจากมีกระแสข่าวว่าจะปรับขึ้นมาให้เท่ากับภาคครัวเรือนเนื่องจากปัจจุบันแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีมีอยู่ประมาณ 1 หมื่นคันซึ่งจะได้รับผลกระทบเพราะส่วนใหญ่วิ่งในเขต กทม.ชั้นใน
“ แม้ว่ากระทรวงพลังงานอาจมีมาตรการเยียวยาคือการอาจให้บัตรส่วนลดราคาเหมือนกับกรณี NGV แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าทางปฏิบัติจะได้หรือไม่เพราะก่อนหน้าที่เคยหารือพบว่าปั๊มแอลพีจีส่วนใหญ่ไม่ใช่ของปตท.ต่างจากNGV หากจะต้องไปติดตั้งอุปกรณ์หรือการลงทุนเพิ่มจะทำได้จริงหรือเปล่า อย่างไรก็ตามหากจำเป็นจะต้องขึ้นจริงๆก็ขอให้มีมาตรการเยียวยาที่ปฏิบัติได้จริงด้วย” นายวิฑูรย์กล่าว
นอกจากนี้หากเป็นไปได้รัฐบาลปัจจุบันควรวางแผนและกำหนดให้ชัดไปเลยระยะยาวไม่ใช่ขึ้นๆ ลงๆ ราคาพลังงานเหมือนเช่นที่ผ่านมาและควรหารือกับกระทรวงคมนาคมไปพร้อมๆ กัน โดยหากจะขึ้นราคาแอลพีจีให้สะท้อนต้นทุนจริงถ้าไม่มีมาตรการเยียวยา ก็ขอให้ปรับค่ามิเตอร์ได้หรือหรือทำทั้งสองอย่าง เพราะค่ามิเตอร์ปัจจุบันนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากว่า 10ปีแล้วแต่ขณะที่สินค้าอุปโภค บริโภค แม้แต่ค่าแรงขั้นต่ำก็ปรับขึ้นไปหมด
“รถแท็กซี่จากราคา 5-6 แสนบาทก็ปรับมาเป็น 8 แสนกว่าบาททำให้มีการขึ้นค่าเช่าแท็กซี่ แต่มิเตอร์กลับไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้วกฏหมายก็บังคับว่าห้ามปฏิเสธผู้โดยสารแต่ไม่ได้คำนึงว่าบางพื้นที่วิ่งไปแล้วรถติดเท่ากับเขาขาดทุนเผลอๆ ผู้โดยสารรถติดทิ้งแท็กซี่ไว้ก็มี นี่ก็ยิ่งขาดทุนไปกันใหญ่ เพราะต้นทุนแท็กซี่ชั่วโมงละ130 บาทแต่หากรถติดค่ามิเตอร์ขึ้น1.50 บาทต่อนาทีติดแค่ครึ่งชั่วโมงก็เริ่มขาดทุนแล้ว ดังนั้นรัฐบาลควรจะมองในภาพรวมทั้งเรื่องพลังงาน และอัตราค่ามิเตอร์ที่เหมาะสมซึ่งจะเป็นแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้” นายวิฑูรย์กล่าว
**ขาหุ้นทำทหารต้องถอยตั้งหลัก
เมื่อเวลา 05.00 น. วานนี้(7 ก.ย.) "ขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน" ออกเดินเท้าจากอ.ละแม เข้าสู่อ.หลังสวน จ.ชุมพร จนเวลา 10.30 น. จึงเข้าสู่ตลาดสด เขตเทศบาลเมืองหลังสวน โดยนางแสงนภา สุทธิภาค อายุ 50 ปี และนางยุพิน ใจเย็น อายุ 41 ปี พร้อมเครือข่ายออกเดินเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 3 คน เพื่อแจกจ่ายเอกสาร ท่ามกลางความสนใจของชาวบ้าน
ต่อมา พ.อ.พิเศษ สุรินทร์ เกตุแก้ว รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบก(จทบ.)ชุมพร พร้อมสารวัตรทหาร ได้เข้าไปพูดคุยกับนางแสงนภาและนางยุพิน เพื่อขอให้ยุติการเดินรณรงค์ พร้อมแนะนำให้ใช้ช่องทางการแสดงออกผ่านสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กำลังดำเนินการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นเวทีที่จะได้เสนอความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ และไม่ผิดกฎหมาย
แต่นางแสงนภา อธิบายว่าออกมาเดินรณรงค์ก็เพื่อต้องการให้มีการปฏิรูประบบพลังงานของประเทศทั้งระบบให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพราะปัจจุบันเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า โดยเฉพาะน้ำมันที่เป็นผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ อีกทั้งไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพราะเดินกันกลุ่มละ 2-3 คนเท่านั้น จึงไม่ขัดกับประกาศกฎอัยการศึก
หลังจากพูดคุยกันเกือบ 30 นาที ก็เริ่มมีชาวบ้านมามุงดูเหตุการณ์มากขึ้น ทำให้ พ.อ.พิเศษเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์บานปลาย จึงได้เดินทางกลับไป ขณะขาหุ้นได้ออกเดินรณรงค์ต่อไป.