เอเอฟพี – ชาวจีนที่ติดเชื้อเอดส์ 2 คนกับเพื่อนอีก 1 คนยื่นฟ้องสายการบินต้นทุนต่ำ สปริงแอร์ไลน์ส หลังถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการดำเนินคดีลักษณะนี้ในจีน สื่อของรัฐบาลปักกิ่งรายงาน วันนี้(15)
หนังสือพิมพ์โกลบัลไทม์สของจีน รายงานว่า ผู้โดยสารทั้งสองคนจะเดินทางจากเมืองเสิ่นหยางทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปยังเมืองฉือเจียจวงทางตอนใต้ของกรุงปักกิ่ง แต่กลับถูกพนักงานสปริงแอร์ไลน์สห้ามไม่ให้ขึ้นเครื่อง หลังจากที่ทราบว่าพวกเขาติดเชื้อเอดส์
บุคคลทั้งสองซึ่งเดินทางมาพร้อมกับเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้ป่วย ได้รับแจ้งจากพนักงานสายการบินว่า ตั๋วถูก “ยกเลิก”
ทั้งสามตัดสินใจฟ้องร้องสายการบินในข้อหาแบ่งแยกกีดกัน และเรียกร้องคำขออภัย รวมถึงค่าชดเชยเป็นเงิน 48,999 หยวน
ศาลในเมืองเสิ่นหยางรับคำฟ้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้คดีนี้กลายเป็นกรณีแรกที่สายการบินจีนถูกกล่าวหาว่าใช้มาตรการกีดกันผู้โดยสารที่ติดเชื้อเอชไอวี
“การที่ศาลรับฟ้องย่อมเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนสามารถเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขาผ่านกระบวนการทางกฎหมายได้” โกลบัลไทม์ส อ้างคำพูดของผู้เป็นโจทก์
สังคมจีนมีทัศนคติด้านลบต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีมานาน ผู้ป่วยเอดส์จะไม่ได้รับอนุญาตให้สอบบรรจุเข้ารับราชการ หรืออาจถูกไล่ออกจากงานหากนายจ้างทราบสถานะของพวกเขา บางครั้งผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ก็ถูกปฏิเสธการรักษา
รัฐบาลจีนเพิ่งจะยกเลิกคำสั่งห้ามชาวต่างชาติที่ติดเชื้อเอดส์เข้าประเทศ เมื่อปี 2010
แม้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนจะเอ่ยถึงมาตรการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์อย่างเปิดเผยมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แต่ความรู้สึกรังเกียจก็ยังคงฝังรากลึกในสังคม ขณะที่กลุ่มรณรงค์และองค์กรระหว่างประเทศเตือนว่า การกีดกันผู้ติดเชื้อจะยิ่งทำให้กระบวนการต่อสู้โรคเอดส์ยุ่งยากขึ้น
ภายใต้กฎหมายของจีน สายการบินสามารถปฏิเสธผู้โดยสารที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ผู้ป่วยจิตเวช หรือผู้โดยสารที่สุขภาพไม่ดีจนอาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆ
หลิว เว่ย ทนายความฝ่ายโจทก์ ชี้ว่า กฎหมายดังกล่าวไม่ใช่ข้ออ้างที่ สปริงแอร์ไลน์ส จะปฏิเสธผู้โดยสารทั้ง 3 คน เพราะไม่มีสิ่งบ่งชี้เลยว่าการอนุญาตให้พวกเขาขึ้นเครื่องจะทำให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ “ติดเชื้อ” ไปด้วย
ด้าน หวัง เจิ้งหัว ประธานสปริงแอร์ไลน์ส ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อจีนเมื่อวันอังคาร(12)ว่า สายการบินไม่ได้มีนโยบายกีดกันผู้ป่วยเอชไอวี พร้อมตำหนิพนักงานที่ “ตื่นตระหนก” มากเกินไป แต่ขณะเดียวกันเขาก็กล่าวโทษฝ่ายผู้โดยสารด้วยว่า สายการบินจะไม่ปฏิเสธการต้อนรับผู้ติดเชื้อเอดส์อย่างแน่นอน หากพวกเขาไม่ทำตัว “เป็นที่สังเกต” มากเกินไป จนทำให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ หวาดกลัว
คำพูดดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ซินาเวยปั๋ว คนหนึ่งถึงกับตำหนิว่า “นี่เป็นการเหยียบย่ำสิทธิมนุษยชน”