กรมการขนส่งทางบกประชุมผู้ประกอบการรถแท็กซี่มิเตอร์และตัวแทนคนขับ ทำความเข้าใจ ปรับปรุงยกระดับบริการ ก่อนปรับอัตราค่าโดยสารระยะที่ 1 คาดใน ธ.ค.นี้ ยันแท็กซี่ทุกคันต้องผ่านการพัฒนาคุณภาพทั้งด้านตัวรถและคนขับ เพื่อรับเครื่องหมายรับรองคุณภาพ ก่อนเข้าสู่กระบวนการปรับจูนมิเตอร์ใหม่
วันนี้ (27 ต.ค.) นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้เป็นประธานการประชุมผู้ประกอบการรถแท็กซี่ และตัวแทนคนขับรถแท็กซี่ส่วนบุคคล เพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบแนวทางการพัฒนาคุณภาพบริการรถแท็กซี่มิเตอร์ทั้งด้านตัวรถและคนขับ ก่อนการปรับอัตราค่าโดยสาร โดยนายธีระพงษ์เปิดเผยว่า ในระยะที่ 1 รถแท็กซี่ทุกคันต้องผ่านการตรวจคุณภาพมาตรฐานด้านตัวรถโดยกรมการขนส่งทางบก เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้วจะได้รับเอกสารรับรองการผ่านมาตรฐาน เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการนำรถเข้าปรับมาตรค่าโดยสารใหม่ และรับสติกเกอร์รับรองคุณภาพจากกรมการขนส่งทางบก ก่อนนำไปให้บริการประชาชนต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนของอัตราค่าโดยสารใหม่นั้น เป็นการปรับเพื่อให้สอดคล้องและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยให้ความเป็นธรรมทั้งแก่ผู้ใช้บริการ ผู้ประกอบการรถแท็กซี่ และคนขับรถแท็กซี่ส่วนบุคคล โดยได้มีการวิเคราะห์จากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทุกด้าน เช่น ค่าแรงคนขับ, ค่าตัวรถ/ค่าเช่า, ค่าเชื้อเพลิง CNG, ค่าซ่อมบำรุงรักษารถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งคาดว่าอัตราค่าโดยสารใหม่นี้จะสร้างความเป็นธรรมและช่วยให้กลไกทางการตลาดสามารถพัฒนาการให้บริการรถแท็กซี่ต่อไปอย่างยั่งยืน
และเพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ จะแบ่งการปรับอัตราค่าโดยสารเป็น 2 ระยะ โดยในระยะที่ 1 รถแท็กซี่ทุกคันต้องผ่านการตรวจสอบและประเมินคุณภาพตัวรถในเบื้องต้นก่อน และจะมีการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนในการใช้บริการรถแท็กซี่ เพื่อประกอบการพิจารณาปรับอัตราค่าโดยสารระยะที่ 2 ต่อไป
นายธีระพงษ์กล่าวว่า กรมการขนส่งฯ ได้สรุปโครงสร้างอัตราค่าโดยสารใหม่ให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แล้วเพื่อลงนามกฎกระทรวงประกาศอัตราใหม่ จากนั้นจะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนจึงจะมีผลบังคับใช้ คาดว่าจะใช้อัตราค่าโดยสารใหม่ประมาณเดือนธันวาคม แต่ยังไม่สามารถระบุวันที่ได้ โดยในระหว่างนี้กรมการขนส่งฯ จะทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในเรื่องการปรับคุณภาพการบริการและการการปรับจูนมิเตอร์ใหม่ โดย รมว.คมนาคมได้มอบหมายให้กรมการขนส่งฯ ศึกษารายละเอียดและจำนวนแท็กซี่ที่เหมาะสมกับการให้บริการอีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันแท็กซี่ในระบบมีกว่า 1 แสนคัน แต่ยังพบว่าในบางจุดประชาชนต้องรอนาน บางจุดมีรถวิ่งมากเกินไป ซึ่งจะได้ข้อสรุปต้นปี 2558
สำหรับโครงสร้างใหม่จะปรับค่าโดยสารขึ้นประมาณ 13% จากปัจจุบัน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ในช่วงแรกปรับขึ้น 7-8% โดยอัตราเริ่มต้นแรกเข้า กม. 0-2 ที่ 35 บาทเท่าเดิม และปรับลดระยะทางจากเดิม กม. 2-12 คิดค่าโดยสารที่ กม.ละ 5 บาท เป็น กม.ที่ 2-10 คิดค่าโดยสารที่ กม.ละ 6 บาท หรือปรับขึ้น 1 บาท (โดยระยะที่ 1 หรือในช่วง 6 เดือนแรกจะปรับขึ้นเป็น กม.ละ 5.50 บาทก่อน) ส่วนช่วงรถติดหยุดนิ่งหรือเคลื่อนตัวต่ำกว่า 6 กม./ชม. จะปรับขึ้นค่าโดยสารจากเดิม 1.50 บาท/กม. เป็น 2 บาท/กม.
สำหรับการตรวจมาตรฐานคุณภาพบริการรถแท็กซี่มิเตอร์นั้น จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ ในระยะที่ 1 จะเริ่มต้นจากการตรวจมาตรฐานคุณภาพตัวรถที่ใช้ในการให้บริการ อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยต้องมีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน แอร์ต้องเย็นทั่วถึง ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกตำแหน่งที่นั่งและพร้อมใช้งาน เบาะที่นั่งไม่ชำรุด ติดบัตรประจำตัวทั้งด้านหน้ารถและเบาะหลังรถ ไฟหน้า ไฟท้าย ยางรถต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ สภาพภายในและภายนอกต้องสะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็นอับ หลังจากการตรวจสอบแล้วกรมการขนส่งทางบกจะออกเอกสารผ่านมาตรฐาน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการนำรถเข้าสู่กระบวนการปรับมาตรค่าโดยสารต่อไป แต่หากไม่ผ่านก็ต้องนำตัวรถไปแก้ไขให้สมบูรณ์ภายใน 15 วันและนำกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง
ทั้งนี้ รถที่ผ่านมาตรฐานจะดำเนินการปรับมาตรค่าโดยสารและต้องนำรถเข้ารับการตรวจสอบเพื่อซีลตะกั่วที่มาตรค่าโดยสารจากกรมการขนส่งทางบก ก่อนออกสติกเกอร์รับรองคุณภาพ เพื่อแสดงถึงการผ่านการตรวจมาตรฐานคุณภาพบริการรถแท็กซี่และใช้อัตราค่าโดยสารใหม่ในระยะที่ 1
สำหรับในระยะที่ 2 กรมการขนส่งทางบกจะตรวจประเมินการให้บริการของแท็กซี่ ผู้ขับรถแท็กซี่ต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะทุกคน แต่งกายสุภาพ สะอาด ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร และต้องใช้มาตรค่าโดยสารทุกครั้ง ในส่วนของผู้ประกอบการ จะต้องจัดส่งประวัติผู้ประจำรถทันทีและทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง ต้องไม่ให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตขับรถแท็กซี่มาขับรถ และที่สำคัญต้องดูแลสภาพรถให้พร้อมใช้งาน มีอุปกรณ์ ส่วนควบถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ตาม กรมการขนส่งทางบกจะตรวจสอบประเมินคุณภาพบริการรถแท็กซี่มิเตอร์อย่างต่อเนื่องและจริงจังด้วยการจัดชุดปฏิบัติการลงพื้นที่โดยเฉพาะบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า ย่านชุมชนที่มีการจราจรหนาแน่นชานเมือง และสถานีขนส่งผู้โดยสาร รวมทั้งเปิดรับข้อคิดเห็นผ่าน 1584 และช่องทางต่างๆ เพื่อนำข้อมูลมาประเมินผลประกอบการพิจารณาปรับอัตราค่าโดยสารระยะที่ 2 ต่อไป