กทพ.เข้าสู่ภาวะสุญญากาศ เหตุ “สุเมธ” ครบวาระพ้นประธาน ส่งผลบอร์ดไม่ครบองค์ประชุมต้องรอรัฐบาลใหม่แต่งตั้งอย่างเดียว หวั่นการเมืองยืดเยื้อนานงานสะดุด ไม่มีบอร์ดอนุมัติ ชี้งานวงเงิน 50 ล้านเกินอำนาจผู้ว่าฯ กทพ. “สุเมธ” กำชับต่อสู้ทุกข้อพิพาทกับเอกชนให้ถึงที่สุดเพื่อรักษาประโยชน์องค์กร ล่าสุดยื่นศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตฯ ที่สั่ง กทพ.จ่ายค่าก่อสร้างด่วน 2 ให้ BECL เพิ่มเกือบ 500 ล้าน ชี้คดีเกินอายุความฟ้องร้องไม่ได้ยกเหมือนกรณีโฮปเวลล์
พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมาถือเป็นการประชุมบอร์ด กทพ.ชุดที่ตนเป็นประธานเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากตนได้หมดวาระลงตามเงื่อนไขอายุครบ 65 ปี ซึ่งส่งผลให้องค์ประกอบของบอร์ดไม่ครบและไม่สามารถจัดประชุมได้อีก ในขณะที่การแต่งตั้งบอร์ดเพื่อให้ครบองค์ประชุมตามกฎหมายนั้นจะต้องรอให้มีรัฐบาลชุดใหม่เสียก่อน ดังนั้นในระหว่างนี้อาจทำให้งานของ กทพ.ติดขัด หยุดชะงักได้ เช่น เรื่องที่ต้องดำเนินงานและมีมูลค่าเกินกว่า 50 ล้านบาท เพราะต้องเสนอบอร์ดอนุมัติ หรือการแต่งตั้งโยกย้ายตั้งแต่ระดับ 9 ขึ้นไป
ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีความกังวลพอสมควรเนื่องจากไม่ทราบว่าจะมีรัฐบาลใหม่เมื่อใด หากล่าช้าไปหลายเดือนก็จะกระทบต่อการบริหารงานแน่นอน ส่วนกรณีข้อพิพาทต่างๆ ระหว่าง กทพ.กับเอกชน บอร์ดได้เคยให้แนวทางไว้ชัดเจนแล้วว่า กทพ.จะต้องต่อสู้คดีจนถึงที่สุด โดยยึดหลักรักษาประโยชน์ของหน่วยงานและประชาชนเป็นสำคัญ โดยมีข้อพิพาททั้งเรื่องการฟ้องเรียกค่าชดเชยการปรับขึ้นค่าผ่านทาง กรณีที่เอกชนเรียกร้องค่าก่อสร้างงานส่วนเพิ่ม ซึ่งทั้งที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ ศาลปกครอง ศาลอุทธรณ์
สำหรับข้อพิพาทระหว่าง กทพ.กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL ล่าสุดคือกรณีที่ BECL ขอให้ กทพ.จ่ายค่าก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) ช่วงถนนแจ้งวัฒนะ วงเงินรวมค่าดอกเบี้ยประมาณ 500 ล้านบาท โดยระบุว่า มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบซึ่งเป็นการเพิ่มเติมเนื้องานของโครงการ ซึ่ง กทพ.ไม่ยินยอมเนื่องจากเป็นการเรียกร้องที่ไม่เป็นไปตามที่ข้อสัญญากำหนดที่ให้แจ้งคู่สัญญาเมื่อมีค่าใช้จ่ายเพิ่มภายใน 30 วัน และเมื่อเกิดสิทธิเรียกร้องแล้วต้องฟ้องร้องคดีกันนั้น BECL ดำเนินการฟ้องร้องเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 12 ปี ซึ่งถือว่าคดีขาดอายุความไปแล้ว
โดยในส่วนของ BECL ได้ยื่นอนุญาโตตุลาการเรียกร้องให้ กทพ.จ่ายค่าก่อสร้างเพิ่มเติม โดยอนุญาโตฯ ได้ชี้ขาดว่า กทพ.ต้องจ่ายเงินตามที่ BECL เรียกร้อง ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 กทพ.ได้ยื่นต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวเนื่องจากขัดต่อความสงบเรียบร้อย โดยเห็นว่ากรณีที่มีคำวินิจฉัยให้ กทพ.จ่ายค่าก่อสร้างทางพิเศษศรีรัชเพิ่มเติมให้ BECL นั้นเป็นแนวทางปฏิบัติเดียวกับข้อพิพาทระหว่างโฮปเวลล์กับกระทรวงคมนาคม ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ยื่นศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
นอกจากนี้ยังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าผ่านทางด่วนซึ่ง BECL ยื่นฟ้อง กทพ. คิดเป็นมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ซึ่ง กทพ.ยืนยันจะอุทธรณ์ต่อสู้ทางคดีจนถึงที่สุด เนื่องจากการปรับค่าผ่านทางได้ดำเนินการตามเงื่อนไขสัญญาและตามความเห็นของอัยการ ซึ่งกรณีคำนวณแล้วมีเศษไม่ถึง 5 ให้ปัดลง ขณะที่ BECL ปัดเศษขึ้น ตัวเลขจึงไม่ตรงกัน
