xs
xsm
sm
md
lg

SCC ลั่นปีนี้ยอดขาย 4.78 แสนล้าน เดินหน้ารุกตั้งโรงปูน 2 ในอินโดฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“กานต์” ชงบอร์ดบริษัทฯ ยอดขายปีนี้ 4.78 แสนล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนกว่า 10% แม้ยอดขายปูนในประเทศหดตัวลง แต่หันไปเพิ่มส่งออก และธุรกิจปิโตรเคมีสดใส มาร์จิ้นพุ่งสูงกว่าปีก่อน มั่นใจครึ่งปีหลังดีกว่านี้ พร้อมคงตัวเลขงบลงทุน 5 ปีข้างหน้า 2.5 แสนล้านบาท แย้มจ่อลงทุนโรงปูนแห่งที่ 2 อีก 1.8 ล้านตันในอินโดนีเซียทันทีหลังโรงแรกเสร็จกลางปี 58 รองรับการลงทุนเมกะโปรเจกต์

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วันนี้ (26 มี.ค.) ได้รายงานสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่มีต่อธุรกิจในเครือ โดยปีนี้บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 4.78 แสนล้านบาท โตกว่า 10% จากปีก่อนที่มียอดขาย 4.34 แสนล้านบาท โดยยอดขายหลักมาจากธุรกิจปิโตรเคมีคิดเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายรวม ดีขึ้นกว่าปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 48% ของยอดขายรวม เนื่องจากปีนี้ไม่มีการหยุดซ่อมโรงมาบตาพุดโอเลฟินส์เป็นเวลา 45 วัน ทำให้มียอดขายจากธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศทำให้ความต้องการใช้ลดลงจากปีก่อน ดังนั้นจึงหันไปเน้นส่งออกเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะส่งออก 3 ล้านตัน เพิ่มเป็น 4 ล้านตันหรืออาจจะมากกว่านั้น ทำให้ไม่ต้องลดกำลังการผลิตลง

ส่วนงบลงทุน 5 ปีข้างหน้ายังเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ 2.5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 5 หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้มีการปรับลดงบลงทุนแต่อย่างใด โดยโครงการที่บอร์ดบริษัทฯ อนุมัติไปแล้วก็ยังเดินหน้าไปตามปกติ คงเหลือแต่โครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นอีก 2-3 โครงการกว่า 1 หมื่นล้านบาทที่อยู่ระหว่างรออนุมัติจากบีโอไอ คงต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ก่อน ซึ่งได้ชี้แจงให้พาร์ตเนอร์ต่างชาติเข้าใจ โดยยืนยันว่าไม่มีการล้มโครงการร่วมทุนแต่อย่างใด

นายกานต์กล่าวต่อไปว่า ยอดขายปูนซีเมนต์ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้เติบโตเพียง 4-5% ต่ำกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ไตรมาสแรกปีนี้ยอดขายปูนจะโต 10% โดยไตรมาสแรกนี้ยังมีโครงการรัฐคั่งค้างเหลืออยู่ แต่หลังจากนี้ไปยังมองไม่เห็นโครงการใหม่เข้ามา ซึ่งปกติโครงการรัฐจะใช้ซีเมนต์คิดเป็น 30% ของความต้องการใช้ปูนทั้งหมด จากการสอบถามบริษัทรับเหมาไทยรายใหญ่พบว่ายังมีโครงการที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงต้นไตรมาส 4 นี้ หลังจากนั้นจะน้อยลง ส่วนผู้รับเหมาขนาดกลางพบว่างานในมือเริ่มน้อยลง ดังนั้นไตรมาส 2-3 นี้เชื่อว่ายอดขายปูนจะโตลดลงหรือติดลบเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่ายอดขายปูนในปีนี้โตไม่เกิน 3% ขึ้นอยู่กับการตั้งรัฐบาลใหม่ได้รวดเร็วเพียงใด

สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีในช่วง 2 เดือนแรกพบว่ายังดีขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน โดยส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติก HDPE กับแนฟทา (สเปรด) อยู่ที่ 620 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีกว่าราคาเฉลี่ยปีที่แล้วสเปรดอยู่ที่ 566 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติก HDPE อยู่ที่ 1500 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าครึ่งปีหลังราคาเม็ดพลาสติกและสเปรดก็ยังดีต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากกำลังการผลิตปิโตรเคมีในโลกเพิ่มขึ้นเพียง 4-5 ล้านตัน น้อยกว่าความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของตลาดโลก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ คือแนฟทา ที่ผันผวนขึ้นกับราคาน้ำมันโลก ซึ่งปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียในช่วงที่ผ่านมาทำให้ราคาน้ำมันดิบโลกผันผวน คงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด รวมทั้งติดตามเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าปีนี้จะเติบโตเพียง 7.2% ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 7.5%

นายกานต์กล่าวถึงกรณีที่อินโดนีเซียประกาศแผนลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ว่า การลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ที่อินโดนีเซียจะใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก คิดว่าน่าจะเดินหน้าไปได้ ซึ่งตนมองว่าทั้งอินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว และพม่าจำเป็นต้องมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่บริษัทตัดสินใจเข้าไปตั้งโรงงานผลิตปูนที่ประเทศเหล่านี้ โดยโรงปูนในอินโดนีเซียขนาดกำลังผลิต 1.8 ล้านตันจะแล้วเสร็จในกลางปี 2558 บริษัทฯ ก็มีแผนจะขึ้นลงทุนสร้างโรงปูนแห่งที่ 2 ในทันที ขนาดกำลังผลิตเท่าเดิม แต่ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ซึ่งขณะนี้ได้เจรจากับผู้รับเหมาและซัปพลายเออร์ล่วงหน้าแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น