SCC เผยแนวโน้มไตรมาส 1/57 สดใส หลังธุรกิจปิโตรเคมีมีมาร์จิ้นดี เหตุจีนยังสั่งออเดอร์เม็ดพลาสติกในช่วงก่อนตรุษจีนเพื่อเก็บสต๊อก ดันสเปรดเม็ดพลาสติกทะลุ 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามปรับแผนลงทุนผลิตสินค้า HVA เพิ่มเติม ดัน IRR ดีขึ้น มั่นใจสรุปเม็ดเงินลงทุนและการกู้ยืมในไตรมาส 4 นี้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปีนี้จะดีกว่าปี 2556 โดยเฉพาะสายโอเลฟินส์ ซึ่งมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาดโลกเพียง 5 ล้านตัน หรือคิดเป็น 3% ของกำลังการผลิต ขณะที่ความต้องการใช้พลาสติกโตขึ้นถึง 4% ทำให้ราคาปิโตรเคมีในปีนี้ดีอยู่ ในช่วงต้นเดือน ก.พ.นี้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลาสติกกับแนฟทา (สเปรด) สูงถึง 630 เหรียญสหรัฐ/ตัน ถือว่าเป็นส่วนต่างที่ห่างกันมากในรอบหลายปี สาเหตุจากความต้องการใช้เม็ดพลาสติกฟื้นตัวดีขึ้น และราคาวัตถุดิบ คือแนฟทาไม่สูงอยู่ที่ 890-900 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ราคาเม็ดพลาสติกอยู่ที่ 1,580 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีในช่วงนี้ราคาอ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปลายปี 2556 แต่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) พอใช้ได้อยู่ หลังจากสเปรดเคยดีมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ผลการดำเนินงานบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 1/2557 จะออกมาดี เนื่องจากก่อนตรุษจีนมีคำสั่งซื้อเม็ดพลาสติกเข้ามาเพื่อเก็บสต๊อก ทั้งๆ ที่ปกติออเดอร์จะลดลงเพื่อลดการเก็บสต๊อกในช่วงวันหยุดยาว อีกทั้งสต๊อกสินค้าโดยรวมปีที่แล้วก็ไม่มาก ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกช่วงตรุษจีนยังดีอยู่ อีกทั้งผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (byproduct) ทั้งเบนซีน โทลูอีน มิกซ์ซี 4 ราคาก็ดีมาก นับว่าปีนี้เป็นปีทองของโรงงานแนฟทาแครกเกอร์ เพราะหากเป็นโรงงานโอเลฟินส์ที่ใช้ก๊าซฯ จะมี byproduct น้อย
“ในปีนี้การเติบโตเศรษฐกิจทั้งยุโรป และสหรัฐฯ คงไม่เลวไปกว่านี้ ดังนั้นมองว่าความกังวลจะอยู่ที่จีนมากกว่า แต่จีดีพีของจีนปีนี้จะโตอยู่ที่ 7.6-7.7% แต่ถ้าเป็นธุรกิจปิโตรเคมีในปีนี้บริษัทฯ ไม่มีความกังวลเลย ส่วนธุรกิจกระดาษสถานการณ์กระดาษพิมพ์เขียนยังไม่ดีอยู่ แต่เราก็พยายามประคอง แต่ถ้าเป็นกระดาษคราฟต์ก็โอเค เพียงแต่เจอการเมืองทำให้ลูกค้ามีปัญหาบ้าง ภาพโดยรวมปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน”
นายกานต์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนามว่า ขณะนี้บริษัทฯ มีแผนจะลงทุนโครงการปิโตรเคมีขั้นปลาย (ดาวน์สตรีม) ที่เป็นสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) อยู่ในคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามตั้งแต่เริ่มต้นเลย ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนการลงทุน (IRR) สูงขึ้นกว่าเดิม โดยสินค้า HVA ที่เวียดนามนี้จะไม่แย่งตลาดสินค้า HVA ในไทย เนื่องจากอนาคตเวียดนามมีความต้องการใช้สินค้า HVA เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว และสินค้า HVA มุ่งเน้นการส่งออกไปยังตลาดโลกด้วย
สำหรับเงินลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์นี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปตัวเลขการลงทุนที่แน่นอนในไตรมาส 4/2557 จากเดิมที่เคยระบุไว้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขณะนี้ซัปพลายเออร์ได้เสนอราคาเครื่องจักร การก่อสร้างโรงงาน รวมทั้งท่าเทียบเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการพิจารณาต่อรองจากนี้ไป ขณะเดียวกันที่ปรึกษาทางการเงินก็จะเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อกู้ยืมและกำหนดสัดส่วนเงินทุนและเงินกู้ในโครงการต่างๆ เช่นกัน
นอกจากนี้ เศรษฐกิจของเวียดนามดีขึ้น ค่าเงินด่งก็มีเสถียรภาพมั่นคง ต่างจากค่าเงินบาทไทยที่ยังผันผวนมากกว่า ทำให้สถาบันการเงินคลายความกังวลลงมาก ทำให้มั่นใจการหาเงินกู้เพื่อใช้ในโครงการนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
นายกานต์กล่าวว่า ส่วนเป้าหมายการผลิตสินค้า HVA ให้มีสัดส่วนคิดเป็น 50% ในแต่ละกลุ่มธุรกิจในปี 2558 คาดว่าคงไม่บรรลุเป้าหมาย เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการซื้อกิจการทั้งในและต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนสินค้า HVA เพิ่มขึ้นน้อยมาก หากไม่มีการซื้อกิจการเพิ่มเติมเลยเชื่อว่าสัดส่วนสินค้า HVA อยู่ที่ 60-70% แล้ว ซึ่งในปี 2555 สัดส่วนสินค้า HVA อยู่ที่ 34 % และปี 2556 มีสัดส่วน 35% เท่านั้น
ส่วนกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีนั้น บริษัทฯ มีนโยบายว่าการร่วมลงทุนกับพันธมิตร อาทิ ดาวเคมีคอล จะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม ไม่เน้นการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไป เว้นแต่โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ซึ่งเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่