ASTVผู้จัดการรายวัน - เอสซีจี เคมิคอลส์ใช้ไทย อินโดฯ และเวียดนามเป็นฐานการผลิต ตั้งเป้าปี 61 เป็นผู้ผลิตปิโตรฯ ใหญ่สุดในอาเซียน หลังขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ที่อินโดฯ และผุดปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม โดยใช้ไทยเป็นฐานผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) ลดความผันผวนด้านราคา เผยปีหน้าราคาดีขึ้นโดยเข้าสู่ช่วงพีกสุดในปี 2559-2560
นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ ในเครือปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินกลยุทธ์สร้างการเติบโตเพื่อความยั่งยืน โดยขยายการลงทุนปิโตรเคมีในอาเซียน โดยจะใช้ 3 ประเทศ คือ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซียเป็นฐานการผลิต และสร้างเครือข่ายปิโตรเคมีที่เชื่อมโยงในภูมิภาคเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลให้ปี 2561 เอสซีจี เคมิคอลส์มีกำลังการผลิตปิโตรเคมีใหญ่สุดในอาเซียน โดยมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 5.8 ล้านตันต่อปี และผลิตเม็ดพลาสติกได้หลากหลายชนิด
พร้อมทั้งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) เพื่อลดความผันผวนของวัฏจักรราคาปิโตรเคมี สร้างความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ โดยไทยจะเป็นฐานการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) เนื่องจากโรงงานเก่าและมีขนาดเล็ก จึงเน้นปรับปรุงเพื่อผลิตสินค้า HVA แทน ส่วนอินโดนีเซียจะเน้นการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไปและสินค้า HVA เพื่อรองรับความต้องการใช้ภายในประเทศ ซึ่งขณะนี้บริษัท พีที จันทรา แอสซรี ซึ่งเป็นผู้ผลิตปิโตรเคมีครบวงจรที่อินโดนีเซียที่เอสซีจีฯ ถือหุ้นอยู่ 30% จะขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจาก 6 แสนตันเป็น 8.5 แสนตันต่อปี รวมทั้งจันทรา แอสซรี ได้จับมือกับมิชลินร่วมลงทุนทำยางสังเคราะห์ประเภทอีโค ไทรส์ (Eco Tyres) เงินลงทุน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนที่เวียดนามจะเป็นฐานการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไปเพื่อป้อนตลาดในประเทศและส่งออก ซึ่งโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามมูลค่า 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น โครงการนี้มีความคืบหน้าไปมาก ได้ส่งหนังสือไปยังผู้รับเหมาเข้ามาประมูลก่อสร้างโครงการแล้ว คาดว่าปีหน้าจะได้ข้อสรุป รวมทั้งแหล่งเงินกู้จะได้ข้อยุติในปลายปีหน้า โดยกลุ่มเอสซีจีจะถือหุ้นใหญ่สุด 46% ที่เหลือจะเป็นเวียดนาม และกาตาร์
นายชลณัฐกล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้า HVA จากปัจจุบัน 50% เป็น 60% ของรายได้รวมในปี 2561 โดยนวัตกรรมสินค้าที่เอสซีจี เคมิคอลส์มุ่งพัฒนาแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สินค้าประเภท Petrochemical HVA เน้น บรรจุภัณฑ์ และคอมพาวนด์ เช่น พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ท่อเพื่อการก่อสร้างและสาธารณูปโภค พลาสติกที่ใช้ในวงการแพทย์และสาธารณสุข ส่วนสินค้าประเภท Non Petrochemical HVA การขายเทคโนโลยี สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Products) เช่น Emisspro (สารเคลือบเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับเตาเผา) และสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากน้ำมันน้อย เช่น พีวีซี เป็นต้น
สำหรับทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปีหน้า คาดว่าราคาปิโตรเคมีจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีนี้ แม้ว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดโลกแต่ไม่มากนัก โดยราคาปิโตรเคมีจะปรับขึ้นไปสูงสุดในปี 2559-2560 หลังจากนั้นจะเข้าสู่วัฏจักรขาลงเนื่องจากมีกำลังการผลิตเอทิลีนใหม่จากสหรัฐฯ เข้ามา โดย 9 เดือนแรกปี 2556 มาร์จิ้นเม็ดพลาสติกปรับขึ้นมาอยู่ที่ 500-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน
โดยทิศทางรายได้ของเอสซีจี เคมิคอลส์จะเติบโตปีละ 5-10% ในช่วง 5 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันมีรายได้ 2.1 แสนล้านบาท ซึ่งไม่รวมรายได้จากอินโดนีเซีย และเวียดนาม
นายชลณัฐกล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ ไม่มีนโยบายที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมไบโอพลาสติกต้นน้ำ แต่จะผลิตไบโอพลาสติก คอมพาวนด์เพื่อใช้พัฒนาเป็นสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่นท่ออายุการใช้งาน 100 ปี รีไซเคิลได้ 100% เป็นต้น
ส่วนการเพิกถอนหุ้นบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) (TPC) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ 91% ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวลงนั้นขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยปีนี้กำไรจากธุรกิจพีวีซีต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่ารายได้จากการขายพีวีซีและท่อพีวีซีจะมากขึ้นกว่าปีก่อน 5-6% ก็ตาม แต่เชื่อว่าปีหน้าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) พีวีซีจะเกินระดับ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 380 เหรียญสหรัฐ/ตัน และราคาพีวีซีน่าจะเห็นตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐ