“กานต์” จ่อปรับเป้ารายได้ SCC โตกว่า 10% จากที่วางไว้ 4.78 แสนล้านบาท เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีสดใส และยอดขายไตรมาสแรก 1.21 แสนล้านบาทโตกว่าคาด มีกำไร 8.3 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน ฟันธงตลาดปูนในประเทศปีนี้โตอย่างเก่งแค่ 0-3% แต่ดิ้นหาทางรอดหันไปส่งออกแทน บอร์ดฯ ไฟเขียวทุ่มหมื่นล้านบาทตั้งโรงปูนในลาว แย้มเร่งเจรจาซื้อโรงปูนในเวียดนาม ตั้ง “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” เป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก่อนนั่งแท่นเป็นซีอีโอคนใหม่ในอนาคต
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯ เตรียมพิจารณาปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นอีกจากเดิมที่ตั้งไว้ 4.78 แสนล้านบาทหรือโตขึ้นจากปีก่อน 10% เนื่องจากยอดขายในไตรมาสแรกโตขึ้นกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กน้อย และแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาขึ้นดีต่อเนื่อง เป็นผลจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ส่วนเอเชียยังดีมาก สำหรับกระดาษและบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนเติบโตต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจซีเมนต์ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวแค่ 0-3% จากปีก่อน ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่บริษัทมองไว้โต 9% เนื่องจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อทำให้ไม่มีการลงทุนโครงการใหม่จากภาครัฐ โดยไตรมาสแรกปีนี้ซีเมนต์โตขึ้น 4% แต่การใช้ปูนช่วง เม.ย.นี้โต 0% เชื่อว่าไตรมาส 2 นี้จะแย่ลงไปอีก ส่วนวัสดุก่อสร้างปีนี้คงติดลบมากขึ้นจากไตรมาสแรกลดลงไป10% ยังไม่มีทีท่าว่าจะผงกหัวขึ้น ทำให้บริษัทหันมาส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีรายได้ส่งออก 3.26 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 27% เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2557 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 1.21 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามการเติบโตของทุกธุรกิจ และเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกธุรกิจ และมีกำไรสุทธิ 8,381 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 1/2556 ธุรกิจมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ถึงกว่า 1,000 ล้านบาท
ในไตรมาสแรกนี้ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 47,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 4,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 60,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลีกำไรลดลง 6% มาอยู่ที่ 2,480 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสที่ 1/2556 ธุรกิจมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนกว่า 900 ล้านบาท ส่วนเอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขาย 15,953 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 1,255 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น
“ไตรมาสแรกสเปรดเม็ดพลาสติกพีอีอยู่ที่ 620 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีขึ้นกว่าปีก่อน 30 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ล่าสุดสเปรดพีอีอยู่ที่ 598-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากแนฟทาที่เป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นจากปัญหาความวุ่นวายระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น เชื่อว่าจะเป็นเหตุการณ์ระยะสั้นๆ โดยแนวโน้มปิโตรเคมีนับจากนี้จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้น ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่จะผลักดันให้บริษัทฯ โตตามเป้าหมายในปีนี้”
นายกานต์กล่าวว่า ปัญหาการเมืองในไทยที่ยืดเยื้อทำให้กำไรลดลงบ้าง แต่ยอดขายไม่ลดลง เนื่องจากบริษัทหันไปส่งออกเพิ่มมากขึ้น เพียงแต่การส่งออกปูนและวัสดุก่อสร้างมีภาระค่าขนส่งทำให้มาร์จิ้นยิ่งลดลง ปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะส่งออกปูนคิดเป็นจำนวนกว่า 4 ล้านตัน
“ความเสี่ยงของบริษัทฯ คือปัญหาการเมือง ซึ่งเชื่อว่าจะคลี่คลายลงตัวได้ในครึ่งปีหลัง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็เดินหน้าการลงทุนโครงการต่างๆ โดยไม่มีการชะลอการลงทุนใดๆ ไตรมาสแรกปีนี้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาทเพื่อลงทุนโรงปูนในพม่า อินโดนีเซีย และกัมพูชา ส่วนการซื้อกิจการคงต้องใช้เวลา”
ทุ่มหมื่นล้านบาทตั้งโรงปูนในลาว
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้เห็นชอบกับโครงการลงทุนโครงการใหม่ ทั้งธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจกระดาษ มูลค่ารวม 11,825 ล้านบาท โดยใช้กระแสเงินสดของบริษัทฯ ที่มีอยู่ 3.2 หมื่นล้านบาทในการลงทุนโครงการดังกล่าว เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน
โดยบอร์ดฯ อนุมัติการตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศลาว มูลค่าการลงทุน 10,000 ล้านบาท เพื่อตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่แขวงคำม่วน กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่โดยรอบของประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในโครงการ และคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในไตรมาสที่ 2/2560
นับเป็นโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งแรกของบริษัทในลาว จากปัจจุบันที่บริษัทฯ มีโรงปูนอยู่ในกัมพูชา พม่า และอินโดนีเซีย ที่ผ่านมาบริษัทฯ ส่งออกปูนไปยังตลาดลาวมีความต้องการใช้ปูน 2.8 ล้านตันในปี 2557 และคาดว่าจะเติบโตปีละ 5-10% ไปอีก 10 ปี
โครงการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อผลิตกระดาษ Glassine ในประเทศไทย มูลค่าการลงทุน 1,825 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) ของเอสซีจี เปเปอร์ ที่จังหวัดราชบุรี ให้สามารถผลิตกระดาษ Glassine กำลังการ 60,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในต้นปี 2559
กระดาษ Glassine มีความเรียบสูงและโปร่งแสงกว่ากระดาษทั่วไป ใช้เป็นวัสดุรองหลัง (Release liner) สำหรับฉลากสติกเกอร์ ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มีความต้องการใช้โตขึ้นปีละ 6% และถือเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
นอกเหนือจากการลงทุนตั้งโรงงานผลิตปูนในลาวแล้ว บริษัทฯ ยังได้มีการเจรจาที่จะเข้าไปซื้อกิจการโรงปูนซีเมนต์ในเวียดนามแทนการสร้างโรงปูนใหม่ เนื่องจากกำลังการผลิตปูนในเวียดนามเกินความต้องการจนต้องส่งออก และในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเจรจาหลายรายแต่ยังไม่ได้ข้อสรุปเนื่องจากราคาเสนอขายค่อนข้างสูง และมาร์จิ้นธุรกิจไม่ค่อยดี
ดัน “รุ่งโรจน์” ซีอีโอ SCC คนต่อไป
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ดังนี้ คือ นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส เป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปเปอร์ นายชลณัฐ ญาณารณพ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ นายพิชิต ไม้พุ่ม เป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และดูแลงานผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ปฏิบัติการ เอสซีจี-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป
อนึ่ง การแต่งตั้งนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ขึ้นเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี นับเป็นการวางตัวนายรุ่งโรจน์ขึ้นมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจีในอนาคต ภายหลังจากนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่คนปัจจุบันจะเกษียณอายุในปลายปีหน้า