ซีพีเอฟตั้งเป้าปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% โดยมีรายได้กว่า 4.5 แสนล้านบาท และกำไรจ่อ 1 หมื่นล้านบาทอีกครั้ง หลังกำไรปี 56 พลาดเป้าต่ำสุดในรอบ 10 ปี ระบุปัญหาโรค EMS ในกุ้งคลี่คลาย และอาหารสัตว์บกดีขึ้น ญี่ปุ่นเปิดตลาดไก่สด หนุนผลดำเนินงานปีนี้สดใสอีกครั้ง
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายไม่น้อยกว่า 4.5 แสนล้านบาท หรือโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% จากช่วงเดียวกันของปี 2556 ที่มียอดขาย 3.89 แสนล้านบาท เช่นเดียวกับกำไรสุทธิที่จะเติบโตสูงกว่ารายได้ จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 7 พันล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 10 ปีของซีพีเอฟ โดยปีนี้สถานการณ์ปัญหาโรคตายด่วน (EMS) ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งของไทยเริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ลดลง และราคาเนื้อสัตว์บกดีขึ้น ไก่สดแช่แช็งของไทยสามารถส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นได้ ดังนั้นน่าจะเป็นปีที่พลิกกลับมาดีมากอีกปีหนึ่งของบริษัททั้งยอดขายและกำไรสุทธิ
“ในปี 2556 บริษัทมีกำไรสุทธิเพียง 7 พันล้านบาท ถือว่าพลาดเป้าหมายมาก ต่ำสุดในรอบ 10 ปี แต่ปีนี้แนวโน้มการฟื้นตัวของราคาเนื้อสัตว์ โรคตายด่วนในกุ้งคลี่คลายดีขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ถูกลง ดังนั้นในปีนี้โอกาสทำกำไรได้ 1 หมื่นล้านบาทเหมือนในอดีตไม่ใช่เรื่องยาก”
โดยบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตซีพีเอฟ 5 ปีข้างหน้า (2557-2561) ไม่ต่ำกว่าปีละ 10% โดยจะมียอดขายอยู่ที่ 7-8 แสนล้านบาท พบว่าสัดส่วนรายได้จะมาจากต่างประเทศถึง 75% และในประเทศไทยเพียง 25% ซึ่งฐานรายได้จากต่างประเทศจะเติบโตเร็วมาก ดังนั้นงบลงทุนใน 5 ปีนี้อยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1 หมื่นล้านบาท ไม่รวมการซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งเงินลงทุนกว่า 50% จะเน้นในต่างประเทศเป็นหลักภายใต้กลยุทธ์การสร้างการเติบโตธุรกิจแบบครบวงจรและยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีการขยายการลงทุนในต่างประเทศถึง 12 ประเทศ และส่งออกไปอีก 40 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมประชากรถึง 3 พันล้านคน
นายอดิเรกกล่าวต่อไปว่า ขณะนี้บริษัทฯ ยังพิจารณาการซื้อกิจการ (M&A) ในต่างประเทศอีกหลายโครงการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้บางโครงการ ซึ่งในช่วงปี 2556 ถึงปัจจุบัน บริษัทได้มีการซื้อกิจการไปแล้ว 4 รายการ คือ การลงทุนในซีพี-เมจิ 60% การลงทุนในธุรกิจสุกรที่รัสเซีย 69.7% การลงทุนในธุรกิจโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ที่เบลเยียม (Tops Foods) 80% และการเข้าร่วมทุนในธุรกิจการค้าในประเทศสวีเดน 29%
ทั้งนี้ บริษัทได้นำรูปแบบการบริหารงานและการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและทันสมัยของTops Foods มาใช้ในเอเชีย ทั้งจีน เวียดนาม และไทย รวมทั้งมีการนำเมนูอาหารไทยให้Tops Foods ผลิตในเบลเยียมเพื่อจำหน่ายในยุโรปด้วย
นายอดิเรกกล่าวต่อไปว่า ในช่วงไตรมาส 4/2557 บริษัทมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระวงเงิน 6.2 พันล้านบาท บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าแนวทางจัดหาเงินที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ โดยอาจจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อคืนหนี้ก็ได้ หลังจากเมื่อต้นปีนี้บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้อนุพันธ์ (Exchangeable Bonds) มูลค่ารวม 290.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2562 อัตราดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี โดยเสนอขายแก่ผู้ลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ลดต้นทุนดอกเบี้ยได้ปีละ 400 ล้านบาท
“ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจซีพีเอฟ เนื่องจากประชาชนยังต้องบริโภคอาหาร อีกทั้งรายได้จากในไทยคิดเป็น 30% ของรายได้รวม เนื่องจากรายได้หลักมาจากต่างประเทศและส่งออก ทำให้บริษัทฯ ยังไม่ต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ ส่วนจีนที่เกิดปัญหาไข้หวัดนกนั้นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากซีพีเอฟไม่มีธุรกิจฟาร์มเลี่ยงไก่และแปรรูปอาหาร โดยบริษัทมีธุรกิจอาหารสัตว์”
ผลการดำเนินงานงวดปี 2556 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 3.89 แสนล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อน 9% และมีกำไรสุทธิ 7.06 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 62% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.87 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปี 2556 ไม่มีการรับรู้กำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัทร่วม CPP จำนวน 8.67 พันล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานธุรกิจสัตว์น้ำในไทยลดลงจากโรคระบาด EMS