ร.ฟ.ท.ลงนามอิตาเลียนฯ สร้างรถไฟสีแดงสัญญา 2 เดินหน้าทุบตอม่อโฮปเวลล์ตลอดแนว หลังสำรวจใช้ได้แค่ 10% จากกว่า 500 ต้น เหตุตำแหน่งไม่ตรงกับแบบใหม่ “ชัชชาติ” สั่งเจรจาเร่งก่อสร้างสถานีวัดเสมียนฯ-หลักหกพร้อมขยายแนวไปถึงนวนคร ด้านผู้รับเหมาโอดค่าแรง300 ทำต้นทุนเพิ่ม 8% เตรียมให้เอกชนและท้องถิ่นประมูลสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูง พัฒนาเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ
การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เดินหน้าลงนามสัญญาจ้างโครงการรถไฟสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต (สัญญา 2) วันนี้ (31 ม.ค.) พร้อมเร่งเปิดขยายสถานีเพิ่มก่อนแผน หวังลดค่าใช้จ่าย ร้อยละ 10-20 คาดทั้งโครงการแล้วเสร็จปี 2559 ขณะที่ความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงกระทรวงคมนาคมเตรียมจัดทำ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ภาครัฐและเอกชน พ.ศ. 2535 เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนพัฒนาสถานีแต่ละจังหวัด สร้างมูลค่าเพิ่มในการพัฒนาสถานี
เมื่อวันที่ 31 มกราคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็นประธานพิธีลงนามสัญญาจ้างผู้รับเหมาโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 2 (งานโยธาสำหรับทางรถไฟ) กับบริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD มูลค่า 21.235.4 ล้านบาท ระยะทาง 21 กิโลเมตร ระยะเวลาก่อสร้าง 1,440 วัน
นายชัชชาติเปิดเผยว่า ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เร่งรัดและปรับปรุงรวม 5 ประเด็น คือ 1. เร่งขยายเส้นทางออกไปถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และศึกษาเพื่อขยายออกไปถึงนวนคร ที่มีการเติบโตของชุมชนสูง 2. เร่งก่อสร้างสถานีวัดเสมียนนารี และหลักหก ซึ่งออกแบบไว้สำหรับอนาคตพร้อมกันไปเลยโดยไม่ต้องรอ 3. ระหว่างก่อสร้างต้องคำนึงถึงการให้บริการรถไฟเดิม และถนนโลคัลโรด เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน และ 4. ออกแบบระบบเชื่อมต่อการเดินทางเข้าออกสถานีให้สะดวกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ 5. ปรับรูปแบบการก่อสร้างให้สอดคล้องกับโครงการรถไฟความเร็วสูงและแอร์พอร์ตลิงก์ส่วนต่อขยาย (พญาไท-ดอนเมือง) เพื่อให้การใช้ประโยชน์เส้นทางสูงสุด ซึ่งจะต้องเพิ่มทางรถไฟจาก 3 ทางเป็น 4 ทาง
“การก่อสร้างอีก 2 สถานีไปพร้อมกันนั้นให้ ร.ฟ.ท.เจรจากับอิตาเลียนไทยฯ ซึ่งจะใช้ราคาต่อหน่วยฐานปี 2553 ต่อรองคาดว่าจะค่าก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นไม่มากและจะเสนอ ครม.ขออนุมัติเพิ่มเติม ซึ่งจะถูกกว่าการเปิดประมูลใหม่แน่นอน เป็นการปรับปรุงทางเทคนิคที่คุยกันได้ ที่ต้องเร่งทำไปพร้อมกันเพราะแนวสีแดงเป็นเส้นทางหลักเข้า-ออก กทม.และมีชุมชนหนาแน่น ซึ่งจะรับผู้โดยสารได้ 30,000-40,000 คนต่อชั่วโมง ดังนั้นต้องทำทางเข้าออกให้เชื่อมโยงและสะดวก เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้ระบบรางแทนรถส่วนตัว”
นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเร่งปรับปรุงแบบ เช่น เพิ่มทางรถไฟเป็น 4 ทาง จากเดิม 3 ทาง เพื่อแยกการเดินรถไฟฟ้ากับรถดีเซลออกจากกัน เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากรถไฟ 2 ระบบมีศักยภาพรวมถึงระยะเบรคที่ต่างกัน และเพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูงด้วย ซึ่งการก่อสร้างสัญญา 2 ค่อนข้างยากเพราะเขตทางจำกัด เนื่องจากก่อนหน้านี้นำพื้นที่ไปสร้างเป็นโลคัลโรดแล้วจึงต้องจัดรูปแบบใหม่ให้เหมาะสม โดยในสัปดาห์หน้าจะเชิญ กลุ่ม ลุ่มกิจการร่วมค้า SU ประกอบด้วย บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC และบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ) ผู้รับเหมาสัญญาที่ 1 (งานก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อและอาคารซ่อมบำรุง) และอิตาเลียนไทยฯ ผู้รับเหมาสีญญา 2 มาประชุมเพื่อวางกรอบการทำงานโดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จตามกำหนด
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทยฯ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการก่อสร้างสถานีวัดเสมียนและหลักหกไปพร้อมกัน ซึ่งค่าก่อสร้างเฉลี่ยสถานีละ 800 ล้านบาท ส่วนสถานีขนาดใหญ่ มีที่ ดอนเมืองและรังสิตแห่งละ2,000 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จตามกำหนด
ด้านนายวิทวัส คุณาพงศ์ศิริ ผู้อำนวยการโครงการ อิตาเลียนไทยฯ กล่าวว่า จากการสำรวจฐานรากตอม่อเสาโครงการโฮปเวลล์ส่วนใหญ่ต้องทุบทิ้ง โดยจะเหลือใช้ได้ประมาณ 10% จากทั้งหมดกว่า 500 ต้น เนื่องจากตำแหน่งไม่ตรงกับแบบสายสีแดง โดยจะใช้ค่ารื้อและขนย้ายกว่า 200 ล้านบาท ส่วนการเข้าพื้นที่ก่อสร้างจะเริ่มทันทีในทุกจุดที่มีความพร้อม แบบปูพรม ซึ่งเฉพาะตัวสถานีจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2.5-3 ปี นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงจาก 215 บาทเป็น 300 ต่อวันและค่าวัสดุเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนโครงการเพิ่มขึ้นประมาณ 8% หรือ 800-900 ล้านบาท
เปิดประมูลเอกชนและท้องถิ่นลงทุนสถานีรถไฟความเร็วสูง
นายชัชชาติกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงว่า ขณะนี้มีแนวคิดที่จะเปิดให้เอกชนในแต่ละจังหวัดตลอดเส้นทางรถไฟความเร็วสูง เข้าร่วมประมูลลงทุนก่อสร้างและพัฒนาส่วนของสถานี เป็นเชิงพาณิชย์โดยจัดสรรพื้นที่เป็นส่วนบริการการเดินรถและพัฒนาเป็นโรงแรม, ศูนย์การค้า เพื่อเพิ่มมูลค่า และทำให้แต่ละสถานีมีเอกลักษณ์ของตัวเองในแต่ละจังหวัด โดยนายกรัฐมนตรีรับทราบแนวคิดนี้แล้ว เพราะจะเปิดโอกาสให้เอกชนและท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนา โดยอยู่ระหว่างกำหนดรายละเอียดเพราะจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) ซึ่ง ร.ฟ.ท.จะดูแลเฉพาะการเดินรถและกำกับอัตราค่าโดยสารเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการ โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี