xs
xsm
sm
md
lg

วิจัยยันลดโดสยาเอดส์ได้ผลดีเท่าเดิม-ช่วยชาติลดค่าใช้จ่าย 200 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม
ผลวิจัยพบลดปริมาณยาต้านไวรัสเอชไอวี คนไทยไม่ต้องกินตามขนาดฝรั่ง ได้ประสิทธิภาพดีเท่าเดิม ลดผลข้างเคียง ตาเหลือง ตัวเหลืองน้อยลง เพิ่มตัวยาทางเลือกให้ป่วย ย้ำ! เอดส์แค่โรคติดเชื้อไวรัสเรื้อรัง ตรวจแล้วรักษาได้ มีชีวิตอยู่จนไปแก่เฒ่า ชวนทุกคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ตรวจเชื้อสักครั้งในชีวิต

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม จากภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยผลงานวิจัยเกี่ยวกับการหาขนาดยาสำหรับต้านไวรัสเอชไอวีที่เหมาะสมสำหรับคนไทย โดยมีเป้าหมายในการปรับลดขนาดยา เนื่องจากยางบางตัวมีราคาแพง และยาบางตัวยังทำให้คนไทยส่วนหนึ่งได้รับผลข้างเคียงมากกว่าฝรั่งที่ได้รับปริมาณยาเท่ากัน

ตัวอย่างยา “อะทาซานาเวียร์” (Atazanavir) ซึ่งเป็นยาสูตร 2 สำหรับคนไข้ที่ดื้อยาไปแล้ว โดยระดับที่ฝรั่งที่กินคือ 300 มิลลิกรัม แต่ ศ.นพ.เกียรติพร้อมคณะได้ศึกษาพบว่า ถ้าคนไทยกินระดับเท่ากันจะได้รับยาสูงกว่า 40% จึงได้ศึกษาโดยให้อาสาสมัคร 600 คนจาก 12 โรงพยาบาล แบ่งกลุ่มทดสอบ 2 กลุ่ม เป็นกลุ่มที่กินยา 300 มิลลิกรัม กับกลุ่มที่กินยา 200 กรัม

“ผลจากการติดตามคนไข้ 1 ปี พบว่าอัตราคุมเชื้อเอชไอวีอยู่ในระดับ 50 ตัวต่อเลือด 1 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร ประมาณ 90% ทั้งสองกลุ่ม และยังพบด้วยว่าคนที่กินยาระดับ 200 มิลลิกรัมมีผลข้างเคียง ตัวเหลือง ตาเหลืองน้อยลง กินยาได้มากขึ้น ประโยชน์จากการศึกษาตรงนี้จะนำไปสู่การปฏิบัติระดับนโยบาย อาจจะให้ยาอะทาซานาเวียร์ซึ่งมีราคาแพงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของยาสูตร 2 จากเดิมที่จะให้ยาโลปินาเวียร์ (Lopinavir) ซึ่งมีราคาถูกกว่าเป็นตัวเลือกอันแรก ประโยชน์ตรงนี้จะช่วยชาติประหยัดรายจ่ายลงได้ปีละ 200 ล้านบาท จากการรักษาผู้ป่วยกลุ่มแรก 5,000 คน” ศ.นพ.เกียรติกล่าว

อย่างไรก็ดี ศ.นพ.เกียรติยังกล่าวย้ำว่าโรคเอดส์เป็นเพียงโรคติดเชื้อไวรัสเรื้อรังชนิดหนึ่ง หากตรวจพบเร็วแล้วเข้ารับการรักษาก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ปกติไปจนแก่เฒ่า หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยวิกฤตที่ล้มหนอนนอนเสื่อ หากทุ่มเทรักษาต่อเนื่อง 3-4 เดือนเพื่อให้พ้นวิกฤตก็สามารถกลับมามีร่างกายสมบูรณ์เหมือนคนปกติ ทั้งนี้อยากให้คนไทยที่เคยมีเพศสัมพันธ์ได้ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีสักครั้งในชีวิตเพื่อการรักษาที่ได้ผลดี









กำลังโหลดความคิดเห็น