บรรยากาศที่ทำให้อยากจะซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มต่อแม้จะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว การได้หายใจเอาอากาศอันแสนสดชื่นเข้าไปเต็มปอดทั้งสองข้าง การได้จิบกาแฟอุ่นๆ ที่ลงมือบดเมล็ดกาแฟและต้มเองจากหม้อต้มกาแฟแบบพกพาท่ามกลางอุณหภูมิที่เย็นสบาย พร้อมกับได้ทอดสายตาชื่นชมความงามของสายหมอกที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ผ่านเรือยยอดของไม้นานาพรรณในป่าอันอุดมสมบูรณ์ ความเงียบสงัดที่ถูกทำลายด้วยเสียงของชะนีที่ร้องเพื่อประกาศอาณาเขต อีกทั้งเสียงนกนานาพันธุ์ที่พากันออกมาหากิน คงเป็นยามเช้าที่หลายคนโดยเฉพาะผู้คนจากเมืองหลวงนั้นโหยหาและอยากจะเดินทางมาเผื่อสัมผัสกับบรรยากาศและรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง และตัวผมเองก็ไม่สามารถปฎิเสธได้เช่นกัน แต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนแสนจะเป็นเรื่องธรรมดาอันเป็นเหตุการณ์ที่พบเจออยู่ทุกๆ เช้าวันใหม่
คนกลุ่มนี้ “คนเฝ้าป่า” ที่เรามักจะเรียกกันติดปากหรือก็คือ “เจ้าหน้าที่ป่าไม้” ผู้มีหน้าที่คอยดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและพื้นที่ป่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของประเทศ การสัมผัสธรรมชาติในรูปแบบที่ผมเกริ่นนำในช่วงแรกเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่เกือบทุกท่านได้สัมผัสกับมันอยู่ในทุกๆ วัน เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ชาวกรุงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเมืองหลวงคงจะอิจฉาในโอกาสของพวกเขาเหล่านี้อยู่มิใช่น้อย ที่ไม่ต้องแก่งแย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่ว่างบนท้องถนนหรือที่สำหรับจอดรถ ไม่ต้องรีบเร่งเพื่อไปให้ทันเวลาทำงาน ไม่ต้องแย่งกันกิน ไม่ต้องแข่งกันใช้ แต่เมื่อลองมองในอีกแง่มุมหนึ่ง เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นอาศัยอยู่ในป่า ซึ่งก็คือที่ทำงานเป็นเวลา 24 ชัวโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ ยาวนานเกือบตลอดทั้งปี จะมีหยุดพักบ้างก็เป็นครั้งคราว และต้องมีการหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนให้มีเจ้าหน้าที่ประจำในพื้นที่อยู่ตลอด อย่างนี้แล้วเวลาที่จะมีให้กับตัวเองหรือครอบครัวคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
เจ้าหน้าที่หลายคนที่ผมมีโอกาสได้ทำความรู้จักจึงยังคงสถานะความเป็นโสดและเขาคิดว่าสถานะนี้น่าจคงอยู่ไปอีกนาน สำหรับคนที่มีครอบครัวแล้วนั้นถ้าไม่พาครอบครัวเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ด้วยกัน ก็คงต้องพึ่งพาอาศัยในเรื่องของความเข้าอกเข้าใจกันอยู่มิใช่น้อย ซึ่งถ้าเป็นสังคมเมืองแล้วปัญหาภายในครอบครัว ปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาการเลี้ยงดูลูกมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้สู
เมื่อได้ยินเรื่องราวเพียงเท่านี้ก็เป็นเรื่องให้ต้องคิดหนักแล้วครับ อย่างน้อยก็สำหรับตัวผมเอง
แต่นี่เป็นเพียงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ยังคงมีความยากลำบากอีกมากที่เรื่องราวเหล่านั้นยากต่อการเข้าถึง ถ้าไม่ได้ไปลงไปสัมผัสด้วยตัวเองโอกาสที่เราจะได้รับรู้นั้นแทบไม่มี ผมขอยกตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับความเหนื่อยยากในการทำงานเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก ด้วยกำลังของเจ้าหน้าที่ที่มีจำนวนเพียงน้อยนิด แต่มีพื้นที่รับผิดชอบที่ต้องดูแลผืนป่าขนาดเกือบหนึ่งล้านไร่ ในระยะเวลาหนึ่งเดือนชุดทีมลาดตระเวณหนึ่งชุดต้องเดินตรวจพื้นที่เป็นระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร
รุ่นพี่ของผมท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ด้วยระยะทางขนาดนี้ในเวลาหนึ่งปีพวกเขาสามารถเดินทางไปกลับประเทศญี่ปุ่นได้เลยทีเดียว ซึ่งระยะทางขนาดนี้ต้องอาศัยพละกำลังทางกายมิใช่น้อยอีกเช่นกัน ได้ยินเรื่องราวเพียงเท่านี้ชีวิตการทำงานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้นั้นช่างยากลำบาก นี่ยังไม่นับรวมถึงอุปกรณ์ที่เหมาะสมต่อการใช้งาน อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างการทำงานทั้งจากสภาพพื้นที่ โรคภัยไข้เจ็บ สัตว์ป่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์สองขาถืออาวุธ ซึ่งอย่างสุดท้ายนั้นสร้างความสูญเสียให้กับทั้งเจ้าหน้าที่และทรัพยากรธรรมชาติของพวกเราเองมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
เรื่องของสวัสดิการนั้นก็เช่นกันเมื่อได้รับอันตราย บาดเจ็บ พิการหรือแม้กระทั่งเสียชีวิต ซึ่งเราเองก็ได้ยินข่าวเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง แต่สิ่งตอบแทนกลับให้พวกเขานั้นน้อยนัก น้อยจนผมคิดว่างบประมาณที่ใช้ไปในการประดับไปบนท้องถนนกลางเมืองหลวงโครงการเดียวกว่าสามสิบเก้าล้านบาทนั้นเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง
ในความลักลั่นย้อนแย้งของมโนคติกับความเป็นจริง ปัจจุบันก็มีองค์กรและหน่วยงานจากหลายแห่งที่เริ่มให้การสนับสนุนและส่งเสริมไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การดูแล หรือสวัสดิการให้แก่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ดีขึ้นกว่าในอดีตมาก แต่อย่างไรก็ตามผมต้องแสดงความยอมรับนับถือในความเสียสละ อุดมการณ์ และหัวใจอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาเหล่านั้น อันเป็นของที่ไม่สามารถจะหาซื้อขายกันได้ ถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านี้ ผมเกรงว่าการที่พวกเราจะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่แสนงดงาม คงทำได้แต่เพียงการรับรู้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือผ่านทางโทรศัพท์ฉลาดเท่านั้นกระมัง และภาพหรือวิดีทัศน์เหล่านั้นคงไม่ได้มาจากประเทศไทย
กลุ่มเมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าสีครามทำให้ผมรู้สึกสดชื่นในเช้าของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ ส่องประกายสีทองให้คลายจากความหนาวเมื่อลมเย็นๆ พัดมาประทะกับผิวหนัง อย่างไรก็ตามในเช้าเดียวกันยังคงมีอากาศหม่นๆ และบรรยากาศมัวๆ ลอยเข้ามาประทะกับความรู้สึกในใจเมื่อผมคิดถึง “คนเฝ้าป่า” ...
เกี่ยวกับผู้เขียน
ฉัตรพรรษ พงษ์เจริญ
แต่เดิมเป็นเด็กต่างจังหวัดจากภาคตะวันออก มุ่งมั่นเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยความสนใจส่วนตัวและถูกชักชวน จึงเลือกเข้าศึกษาในภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ สาขาวิทยาศาสตร์สัตว์ป่าและทุ่งหญ้า ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้มีโอกาสช่วยเก็บข้อมูลงานวิจัยสัตว์ป่าในหลายพื้นที่ หลังจากสำเร็จการศึกษาได้รับคำแนะนำให้ไปศึกษาต่อยังสถาบันอื่น จึงได้เข้ามาศึกษาต่อ ณ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระดับปริญญาโทต่อมาถึงในระดับปริญญาเอก และยังคงมีสถานภาพเป็นนิสิตอยู่ในปัจจุบันขณะ
"เราพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย เพื่อที่สุดท้ายแล้วเราจะได้รู้ว่า แท้จริงแล้งเราไม่ได้รู้อะไรเลย"
พบกับบทความ “ฉัตรพรรษ พงษ์เจริญ” ได้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน