สภาหอการค้าไทย ร่วมกับ สวทช.และ สทอภ. สร้างมาตรฐาน ThaiGAP ควบคุมความปลอดภัยผักผลไม้ไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วย QR Code เจาะลึกทุกขั้นตอนการผลิตด้วยข้อมูลภูมิสารสนเทศสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค
สภาหอการค้าไทย ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง สวทช. กับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และพิธีลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง ระหว่าง สทอภ. กับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 57 ณ สภาวิจัยหอการค้าแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ
ชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ ประธานคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมคุณภาพเกษตรกรไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในอนาคตการซื้อขายสินค้าทุกประเภทนอกจากคุณภาพ และรูปลักษณ์สินค้าที่เห็นอยู่ตรงหน้า การตรวจสอบย้อนกลับได้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและเสริมความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตลอดจนผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าจากประเทศไทยที่ต้องการการรับรองมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวด อย่างประเทศทางยุโรป สหรัฐฯ และออสเตรเลีย
จากแนวโน้มดังกล่าว ชูศักดิ์ระบุว่าจึงเกิดเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสภาหอการค้าไทย กับหน่วยงานในการกำกับดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2 หน่วยงานคือ สวทช. และ สทอภ. เพื่อยกระดับและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการด้านสินค้าผักและผลไม้เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วยมาตรฐาน ThaiGAP ที่จะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้กับผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการฟาร์มในทุกกระบวนการผลิต
ด้าน สุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ในส่วนของ สวทช.จะเข้ามามีบทบาททางด้านการพัฒนามาตรฐาน ThaiGAP และผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเกษตรกรรมผ่านการรับรองมาตรฐานนี้ให้มากขึ้น เนื่องจากการค้าขายสินค้าทางการเกษตรส่งออกในปัจจุบัน มีมาตรการกีดกันทางการค้านอกจากภาษีอยู่หลายประการ โดยเฉพาะข้อกีดกันเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการโรงงานของผู้ประกอบการที่จำเป็นต้องได้รับมาตรฐาน GlobalGAP
ผู้ช่วย ผอ.สวทช. อธิบายว่า GlobalGAP เป็นเครื่องหมายการันตีความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติ ซึ่งการขอเข้าสู่กระบวนการ และการตรวจสอบมาตรฐานเพื่อให้ได้ตราสัญลักษณ์จำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และต้องติดต่อกับหน่วยงานจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการเกษตรในไทยบางส่วนเข้าไม่ถึง การผลักดันให้ผู้ประกอบการได้ผ่านมาตรฐาน ThaiGAP ซึ่งเป็นมาตรฐานของไทยที่ได้รับความเชื่อถือและมีมาตรฐานในลักษณะเดียวกัน จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่าย และเข้าถึงการรับรองมาตรฐานได้มากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อมูลค่าการส่งออก ซึ่งในขณะนี้มาตรฐาน ThaiGAP ได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว
"สวทช.จะเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำเริ่มตั้งแต่การจัดประชุมสัมนา เพื่อฝึกอบรมให้ผู้ประกอบการได้รู้จักมาตรฐานการจัดการผลผลิต ตลอดจนการเข้าไปดูและให้คำแนะนำถึงกระบวนการเพาะปลูกตลอดห่วงโซ่การผลิต ซึ่งเราได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์วิจัยและพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตร แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นอกจากนี้ สวทช.ยังสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อนำร่องการเข้าสู่มาตรฐาน ThaiGAP อีกด้วย" ผู้ช่วย ผอ.สวทช. เผยแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์
ในส่วนของ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สทอภ. เผยว่า นอกจากการบนิการทางด้านดาวเทียมที่ สทอภ.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักแล้ว อีกงานหนึ่งคือการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ซึ่งมีพร้อมอยู่แล้ว แต่ขาดเพียงข้อมูลและหน่วยงานที่จะเข้ามาประสานงานกัน ดังนั้น การร่วมมือกับสภาหอการค้าไทยในครั้งนี้ จะยกระดับอุตสาหกรรมและการค้าขายทางการเกษตรขั้นไปอีกขั้น เพราะสามารถตรวจสอบย้อนกลับลงไปดูได้ว่าผักผลไม้ที่มีขายในท้องตลาดมีที่มาอย่างไร ผ่านโปรแกรมที่ทาง สทอภ.พัฒนาขึ้น
"อีกหน่อยเราจะทราบทุกอย่างเลยว่าวันนี้ผักที่เราทานมาจากที่ไหน มีการปลูกได้มาตรฐานหรือไม่ จากระบบตรวจสอบย้อนกลับที่ สทอภ.จัดทำขึ้นอยู่ในโครงการระบบต้นแบบเพื่อตรวจสอบกระบวนการและแหล่งที่มาของสินค้าเกษตรด้วย QR Code ที่จะมีพิกัดแปลงเกษตร ข้อมูลเกษตรกร ข้อมูลสินค้า ข้อมูลโรงคัดบรรจุสินค้า สถานที่ขายสินค้าระบุชัดเจนอยู่ภายในโปรแกรม เพียงผู้บริโภคแสกน QR Code ข้อมูลทั้งหมดก็จะปรากฏอยู่ที่หน้าจอสมาร์ทโฟน ที่นอกจากจะทำให้เกิดความมั่นใจของผู้บริโภคแล้ว ยังทำให้ผู้ประกอบการเกษตรได้รับความเชื่อถืออีกด้วย" ผอ.สทอภ. กล่าว
*******************************