เมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2013 ที่ผ่านมานี้ Robert G. Edwards ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบในวัย 87 ปี ด้วยโรคปอดอักเสบที่บ้านใกล้เมือง Cambridge ในอังกฤษ เขาคือบุคคลผู้บุกเบิกสู่ยุคการปฏิสนธิของทารกในหลอดแก้ว (in vitro fertilization IVF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีด้านการสืบพันธุ์รูปแบบใหม่ ผลงานนี้ทำให้ Edwards ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี 2010 เพราะเทคนิค IVF ของ Edwards กับเพื่อนร่วมงานชื่อ Patrick Steptoe และ Jean Purdy สามารถบันดาลให้คู่สมรสที่ไม่สามารถให้กำเนิดทารกโดยวิธีธรรมชาติ สามารถมีทายาทของตนเองได้ นับถึงวันนี้ทารกที่ถือกำเนิดด้วยวิธี IVF มีมากถึงปีละ 5 ล้านคนแล้ว และมีเทรนด์จะเพิ่มมากขึ้นทุกปี
แต่เมื่อถึงวันที่มีการมอบรางวัลโนเบลคือวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.2010 ก็มีเหตุการณ์ที่น่าเสียใจเกิดขึ้นคือ Edwards ไม่สามารถเดินทางไปรับรางวัลที่ Stockholm ได้ด้วยตนเอง เพราะกำลังป่วยด้วยโรคความจำเสื่อมระดับรุนแรงมาเป็นเวลานาน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ในปีนั้นตนคือผู้พิชิตรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ส่วนศัลยแพทย์ Patrick Steptoe และ Jean Purdy ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานได้เสียชีวิตไปก่อนนั้นนานแล้ว ดังนั้นภรรยาชื่อ Ruth Fowler Edwards (ผู้เป็นหลานสาวของ Ernest Rutherford นักฟิสิกส์ผู้พบนิวเคลียสในอะตอม และเป็นลูกสาวของ Ralph Fowler นักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียง) จึงต้องเดินทางไปรับรางวัลแทน และเธอได้มอบให้ Martin Johnson ซึ่งได้ทำงานวิจัยเรื่องนี้ร่วมกับ Edwards เป็นเวลานาน แสดงปาฐกถาเรื่องแรงดลใจ และผลงานของ Edwards ให้ผู้เข้าร่วมพิธีมอบรางวัลโนเบลฟัง
Robert Geoffrey Edwards เกิดเมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ.1925 ที่เมือง Batley ใน Yorkshire ประเทศอังกฤษ เพราะบิดาของ Edwards ย้ายที่ทำงานบ่อย ดังนั้น Edwards จึงต้องย้ายโรงเรียนเนืองๆ จากเมือง Witney ไป Manchester High School เพื่อเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษา แล้วไปต่อระดับปริญญาตรีด้านชีววิทยาที่มหาวิทยาลัย Bangor ใน Wales เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 Edward เข้ารับราชการทหารแล้ว ได้ไปเรียนระดับปริญญาเอกสาขาพันธุศาสตร์และคัพภวิทยา (embryology) ที่มหาวิทยาลัย Edinburgh จนจบปริญญาเอก Ph.D.เมื่ออายุ 30 ปี หลังสำเร็จการศึกษาได้ทุนวิจัยของมูลนิธิ Ford ไปทำงานวิจัยที่ Churchill College แห่งมหาวิทยาลัย Cambridge ในปี 1963 บรรยากาศทำงานและสิ่งแวดล้อมที่นั่นทำให้ Edwards รู้สึกเป็นสุขและพึงพอใจมาก จึงได้ทำงานประจำที่นั่นโดยเป็น Fellow ของ Churchill College จนวาระสุดท้ายของชีวิต
ระหว่างเรียนปริญญาเอก Edwards นึกสนใจเรื่องความเป็นไปได้ที่จะสร้างเด็กหลอดแก้ว เพื่อช่วยสามีภรรยาที่ไม่สามารถจะมีทายาทได้ตามธรรมชาติ และเมื่อสำเร็จการศึกษาความคิดนี้ก็ได้หวนกลับมาหาเขาอีก จึงคิดจะนำเซลล์ไข่ (oocyte) จากรังไข่สตรีมาใช้ทดลองในหลอดแก้ว และได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจาก Patrick Steptoe ซึ่งเป็นสูตินารีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้าน laparoscopy (การผ่าช่องท้อง) ในการนำโอโอไซต์ (oocyte) ของสตรีมาทดลอง แต่ใช้ไข่ของกระต่ายก่อน แล้วเติมอสุจิลงไป
หลังจากที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด ในปี 1965 Edwards ก็ประสบความสำเร็จในการทำให้เนื้อเยื่อรังไข่สร้างเซลล์ไข่ได้หลายเซลล์ และรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นหลังที่ได้เฝ้าคอยผลนานประมาณ 25 ชั่วโมง เขาก็รู้ทันทีว่าการทำ IVF เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ทั้งๆ ที่มีอุปสรรคมากมาย เช่น หาเนื้อเยื่อมาทดลองได้ยาก (คนไม่เชื่อฝีมือ) ห้องทดลองมีอุปกรณ์ไม่พร้อม ไม่ได้ทุนวิจัยสนับสนุนจากรัฐบาล รวมถึงถูกสังคมเช่นเพื่อนร่วมงานต่อต้านเพราะคิดว่าผิดจริยธรรมที่นำไข่มาใช้ทดลอง เพราะไข่สามารถเจริญเติบโตเป็นคนได้ Edwards ก็ยังเดินหน้าทดลองต่อไป
ถึงปี 1968 Edwards ได้ประสบความสำเร็จในการทำให้ไข่มนุษย์ให้ได้รับการปฏิสนธิ (blastocyst) ในหลอดทดลองเป็นครั้งแรก
แต่เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปถึงสังคมนอกมหาวิทยาลัย งานวิจัยของ Edwards ก็ได้รับการต่อต้านจากสังคม เพราะบรรดานักจริยธรรม นักวิชาการ สถาบันศาสนา สื่อ และประชาชนทั่วไปล้วนมีความเห็นว่า การทดลองเรื่องนี้อาจทำให้ได้ทารกที่พิการ หรือได้เด็กที่มีจิตใจผิดปกติ นอกจากนี้การทดลองยังก้าวก่ายบทบาทในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าด้วย โดย Edwards กำลังพยายามจะเล่นบทบาทเป็นพระเจ้าเอง จากการใช้เซลล์ตัวอ่อนเป็นวัสดุวิจัย ซึ่งเซลล์ตัวอ่อนนี้ในภายหลังจะเจริญเติบโตเป็นมนุษย์ ดังนั้นถ้าตัวอ่อนตาย นี่คือการฆ่า “เด็ก” ซึ่ง James Watson ผู้พบโครงสร้างของ DNA และได้รับรางวัลโนเบลก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรมมาก และเมื่อ Edwards บอกตรงๆ ว่า เขาไม่สามารถรับประกันความปลอดภัย หรือความสำเร็จใดๆ ได้ 100% บรรดานักเคลื่อนไหวทั้งหลายจึงประกาศฟ้อง Edwards ต่อศาลยุติธรรม จนบางวันเขาถูกฟ้องถึง 8 ศาล แต่ทุกศาลก็ตัดสินให้ Edwards ชนะคดีความทุกครั้งไป กระนั้นความกังวลใจที่สังคมต่อต้านการทดลองนี้ก็ได้ชะลอความรวดเร็วในการทำงานวิจัยของ Edwards พอสมควร
ในการทดลองระยะแรกๆ Edwards ไม่ประสบผลสำเร็จเลย เพราะโอโอไซต์ที่สุก เมื่อได้รับการปฏิสนธิด้วยเชื้ออสุจิในหลอดทดลอง แล้วถูกนำกลับไปฝังในโพรงมดลูก มักไม่ติด จึงไม่มีการตั้งครรภ์
แต่ Edwards ก็ได้พยายามเปลี่ยนตัวแปรต่างๆ จนได้พบว่า ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุด เขาต้องใช้ไข่ที่สุก ในช่วงเวลาที่สตรีกำลังมีประจำเดือนตามธรรมชาติ และสภาพของสารละลายแวดล้อมที่ไข่จะเติบโตต้องเหมาะสม นอกจากนี้เชื้อตัวผู้ก็ต้องแข็งแรง และสมบูรณ์ด้วย
องค์ความรู้เหล่านี้ได้ช่วยทำให้โลกได้เห็นทารกหลอดแก้วเป็นครั้งแรก เมื่อเวลา 11.47น. ของวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ.1978 เพราะในวันนั้น ทารกเพศหญิงชื่อ Louis Brown ได้ถือกำเนิดที่โรงพยาบาล Oldham General Hospital ในอังกฤษ และเพื่อป้องกันมิให้มีการเดินขบวนต่อต้านมารดาของ Louise Brown ต้องให้กำเนิดลูกสาวของเธออย่างลับๆ ข่าวยิ่งใหญ่นี้ได้ถูกนำไปเผยแพร่ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทั่วโลก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งมีทั้งต่อต้าน ชื่นชม และวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้ไม่นาน Edwards กับ Steptoe ก็ได้รับข่าวร้ายว่า ทีมวิจัยของเขาที่ทำงานเรื่องนี้จะไม่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษอีกต่อไป ทั้งสองจึงขอทุนวิจัยจากองค์กรเอกชน และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี จึงได้จัดตั้งคลินิกเด็กหลอดแก้วที่ Bourn Hall Clinic ในมหาวิทยาลัย Cambridge สำหรับฝึกนักชีววิทยา และนักนรีเวชวิทยาจากทั่วโลกให้มีความเชี่ยวชาญด้าน IVF เพื่อช่วยพ่อ-แม่ที่น่าสงสารทั่วโลกที่ไม่มีโชคให้มีลูกได้สมหวังเสียที
ในปี 1984 Edwards ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสมาคม Royal Society (F.R.S.)
หลังจากได้ทำงานร่วมกันมานานประมาณ 20 ปี จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี Steptoe ก็ได้ถึงแก่กรรมในปี 1988 (ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงได้รับรางวัลโนเบลร่วมกับ Edwards อย่างแน่นอน)
ถึงปี 2001 Edwards ได้รับรางวัล Albert Lasker Clinical Medical Research Award ซึ่งวงการแพทย์ถือว่าเป็นรางวัลที่จะนำไปสู่การยอมรับอย่างสมบูรณ์ นั่นคือรางวัลโนเบล
แล้วความคาดหวังของทุกคนก็เป็นจริง เพราะในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ.2010 สถาบันโนเบลแห่งสวีเดนได้ประกาศว่า Edwards คือ ผู้พิชิตรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี 2010 อีกหนึ่งปีต่อมา Edwards ก็ได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งเป็น Sir Robert Geoffrey Edwards
สำหรับการสร้างทายาทด้วยตนเอง (ตามวิธีธรรมชาติ) นั้น Edwards มีลูกสาว 5 คน และหลาน 12 คน
ข้อสังเกตหนึ่งเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ Edwards คือ ในสมัยที่ยังทำงานเข้มแข็ง อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษชื่อ Margaret Thatcher ได้เคยต่อต้านการทดลองของ Edwards อย่างรุนแรง และเธอซึ่งเกิดปีเดียวกับเขา และเป็นอัลไซเมอร์เหมือนกัน ได้จบชีวิตไปก่อนเขา 2 วัน ดังนั้นในปรภพ คนทั้งสองคงไม่มีอะไรต้องถกเถียงกันอีกแล้ว
อ่านเพิ่มเติมจาก Baby – Making: What the new reproductive treatments mean for family and society โดย Bart Fauser และ Paul Devroey จัดพิมพ์โดย Oxford University Press ปี 2011
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ สุทัศน์ ยกส้าน ได้ทุกวันศุกร์