xs
xsm
sm
md
lg

“บวรศักดิ์” โวย ศอ.รส. ตัดต่อคำพูดกดดันศาล ซัดทำตัวก่อความไม่สงบ-ลงลิ้นนายไร้ความรับผิดชอบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ (ภาพจากแฟ้ม)
เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า โวย ศอ.รส. ตัดต่อคำพูดประกอบแถลงการณ์กดดันศาล ทำตัวก่อความไม่สงบเสียเอง ยันศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยคดี “ยิ่งลักษณ์” ตามเขตอำนาจของตนเอง ชี้แสดงออกเอาใจนาย ไร้สำนึกรับผิดชอบ ยกคำพูด “มาร์กาเรต แทตเชอร์” อดีตนายกฯ อังกฤษ ชี้เสียงข้างมากไม่อาจเปลี่ยนสิ่งที่ผิดให้ถูกได้

วันนี้ (8 พ.ค.) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ได้เผยแพร่เอกสารคำชี้แจงถึงแถลงการณ์ของศูนย์อำนวยการรักษาควาสงบ (ศอ.รส.) ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่เรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างตรงไปตรงมา โดย นายบวรศักดิ์ ระบุตอนหนึ่งว่า แถลงการณ์ดังกล่าวมีลักษณะชี้นำ และก้าวล่วงกดดันศาล ซึ่งมิใช่วิสัยที่หน่วยงานของรัฐที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อย กลับเป็นผู้ก่อให้เกิดความไม่สงบเสียเอง ด้วยการทำตัวระราน ข่มขู่ศาล และผู้อื่นไปทั่ว

ยิ่งกว่านั้นแถลงการณ์ดังกล่าวมีข้อความบางส่วนเป็นเท็จ และยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดในคำกล่าวปาฐกถาของตนเรื่องการปฏิรูปการเมืองภายใต้หลักนิติธรรม เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งตนไม่เคยพูดว่า การสถาปนาอำนาจตุลาการ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ เป็นการปูทางไปสู่คำวินิจฉัยที่จะสร้างสุญญากาศทางการเมืองตามที่กลุ่ม กปปส. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มต้องการ เพื่อนำไปสู่การทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งมีการอ้างมาตรา 3 และมาตรา 7 ตามที่ ศอ.รส. ระบุ พร้อมทั้งระบุว่าไม่เคยพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญ เป็นรัฏฐาธิปัตย์ และยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยคดีดังกล่าวตามเขตอำนาจของตนเอง

“ศอ.รส. คิดเอาเอง พูดเอง ใส่ความผู้อื่นให้ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่มีความเป็นปกติไม่กระทำกัน” นายบวรศักดิ์ กล่าว

นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า การกล่าวหาความผิดผู้อื่นโดยไม่มีมูล แต่ละเว้นที่จะพิจารณาความผิดของพวกตนเองว่าอาจเข้าข่ายจงใจใช้อานาจขัดรัฐธรรมนูญ นั้น มิใช่วิสัยของหน่วยงานของรัฐที่ดี และเป็นกลาง แต่แสดงออกซึ่งการเอาใจนาย โดยไร้ความสานึกรับผิดชอบ การที่ ศอ.รส. นำความเพียงบางส่วนของคำปาฐกถาของข้าพเจ้ามาอ้าง เป็นการตัดต่อ ข้อความทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ก่อนที่จะยกคำพูดของนางมาร์กาแรต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ระบุว่า การเป็นประชาธิปไตยยังไม่เพียงพอ เสียงข้างมากไม่อาจเปลี่ยนสิ่งที่ผิดให้ถูกได้ หากจะเป็นประเทศเสรีจริงๆ ประเทศนั้นต้องมีความรักที่ลึกซึ้งต่อเสรีภาพ และเคารพหลักนิติธรรมอย่างผูกพันไม่เสื่อมคลาย

คำชี้แจงแถลงการณ์ ศอ.รส. ฉบับที่ 3 ของ ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิกาสถาบันพระปกเกล้า

ตามที่มีแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ของ ศอ.รส. เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งรับฟังคาพยานในคาร้องขอให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เพราะกระทาการก้าวก่ายและแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี แถลงการณ์ดังกล่าวมีลักษณะชี้นำ และก้าวล่วงกดดันศาล ซึ่งมิใช่วิสัยที่หน่วยงานของรัฐที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยกลับเป็นผู้ก่อให้เกิดความไม่สงบเสียเอง ด้วยการทาตัวระราน ข่มขู่ศาลและผู้อื่นไปทั่ว ยิ่งกว่านั้น

แถลงการณ์ดังกล่าวมีข้อความบางส่วนเป็นเท็จ และกล่าวหาในลักษณะที่ทาให้เข้าใจว่า ข้าพเจ้ากล่าวแสดงปาฐกถาเรื่อง “กำรปฏิรูปกำรเมืองภายใต้หลักนิติธรรม” เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 เพื่อ “....สถาปนาอานาจตุลาการ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์...เป็นการปูทางไปสู่คาวินิจฉัยที่จะสร้างสุญญากาศทางการเมืองตามที่กลุ่ม กปปส. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มต้องการ เพื่อนาไปสู่การทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งมีการอ้างมาตรา 3 และมาตรา 7 ....” ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยพูดข้อความในเครื่องหมายคำพูดนั้นในการแสดงปาฐกถา หรือในที่ใดเลย เป็นการที่ ศอ.รส. คิดเอาเอง พูดเอง ใส่ความผู้อื่นให้ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่มีความเป็นปกติไม่กระทำกัน ด้วยเหตุนี้

ข้าพเจ้าจึงขอชี้แจงการกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง และปราศจากความเป็นธรรมของ ศอ.รส. ดังนี้

1) การที่ ศอ.รส. กล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญ ว่าศาลใช้ข้อกาหนดว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทาคาวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ที่ศาลทาขึ้นเอง ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญกาหนดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และต้องตรา

2) กฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 แล้ว ศอ.รส. ก็สรุปด้วยความเป็นเท็จชัดแจ้งว่า “แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยดำเนินการให้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว เมื่อวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้กาหนดไว้ในรูปแบบของกฎหมาย จึงทาให้สาธารณชนเกิดความสับสนต่อการทำหน้าที่ว่าเป็นไปตามหลักยุติธรรม และถูกต้องตามหลักความยุติธรรมหรือไม่ และอาจส่งผลให้การวินิจฉัยคดีไม่มีมาตรฐานขาดความชัดเจน เพราะไม่มีกรอบในการใช้อานาจ” ในความเป็นจริง ศาลรัฐธรรมนูญเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้สภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ถูกใช้อานาจการเมืองถ่วงการพิจารณา กล่าวคือ ครั้งแรก ศาลรัฐธรรมนูญเสนอร่ำงพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ... ต่อ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 25 มิถุนายน 2551 อยู่ภายใน 1 ปี นับแต่ใช้รัฐธรรมนูญ แต่ถูกฝ่ายการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรถอนเรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วกลับไป โดยอ้างว่าจะทบทวนใหม่เมื่อ 28 ตุลาคม 2552 แล้วไม่ได้ทำอะไรจนสภายุบไปเมื่อ 10 พฤษภาคม 2554 เมื่อมีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร

รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้ขอให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใหม่ (ซึ่งถ้าขอก็ทาได้) ทาให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ตกไปในเดือนกันยายน 2554 ครั้งที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญเสนอร่ำงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใหม่ เมื่อ 22 มีนาคม 2555 แต่จนถึงวันนี้ สภาผู้แทนราษฎรที่เสียงข้างมากเป็นของรัฐบาลยังไม่ได้หยิบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ขึ้นพิจารณา คงปล่อยให้ค้างคาอยู่เช่นนั้น

การที่ ศอ.รส. มาบิดเบือนข้อมูลที่ตรวจสอบได้ เพื่อโจมตีศาลรัฐธรรมนูญ จึงเห็นได้ชัดว่า นำความเท็จมากล่าวอ้างเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาลและเสียงข้างมาก ซึ่งเป็นผู้ “ดอง” ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวเสียเอง

3) การกล่าวหาความผิดผู้อื่นโดยไม่มีมูล แต่ละเว้นที่จะพิจารณาความผิดของพวกตนเองว่าอาจเข้าข่าย “จงใจใช้อานาจขัดรัฐธรรมนูญ” นั้น มิใช่วิสัยของหน่วยงานของรัฐที่ดี และเป็นกลาง แต่แสดงออกซึ่งการเอาใจ “นาย” โดยไร้ความสานึกรับผิดชอบ

นอกจากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญถูกดองในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง พ.ศ. .... (ที่ประธานศาลฎีกาเสนอ) และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ..... (ที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ) ก็เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณามาตั้งแต่ปี 2551 แต่ถูก “ดอง” อยู่ในสภามาจนถึงทุกวันนี้กว่า 6 ปีแล้ว

คำถามที่ต้องตอบในวันนี้ คือ ใครเป็นผู้รับผิดชอบในการจงใจใช้อานาจนิติบัญญัติให้ขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งโดยถ่วงเวลาไม่พิจารณาให้เสร็จภายใน 1 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญกาหนด ?

2) การที่ ศอ.รส. นำความเพียงบางส่วนของคาปาฐกถาของข้าพเจ้ามาอ้างก็ดี นำคำบรรยายเรื่อง “เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งข้าพเจ้าไปบรรยายให้ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 18 กันยายน 2541 และมีการถอดเทปคาบรรยายมาลงพิมพ์ในวารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2542 หน้า 30-47 มาอ้างก็ดี เป็นการ “ตัดต่อ” ข้อความทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ดังนั้น ข้าพเจ้าจะขอนำบทปาฐกถาเรื่อง “การปฏิรูปการเมืองตามหลักนิติธรรม” ที่แสดงเมื่อ 24 เมษายน 2557 ในโอกาสวันสถาปนาศาลรัฐธรรมนูญและคำบรรยายเรื่อง “เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ” ตั้งแต่ปี 2541 ไปลงพิมพ์ให้อ่านความเต็มใจใน www.kpi.ac.th เพื่อวิญญูชนที่ใจเป็นธรรมได้อ่านเนื้อเต็ม โดยไม่ต้องถูกบิดเบือน

ในคำบรรยายที่ข้าพเจ้าได้บรรยายไว้เมื่อปี 2541 ข้าพเจ้ากล่าวว่า “.....ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีอันอยู่ในเขตอานาจศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้วนั้นเองแหละ จึงจะผูกพันศาลอื่น แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัยคดีซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจ

4 ) ศาลรัฐธรรมนูญแล้วความผูกพันต่อศาลอื่นก็ไม่มี....” (หน้า 31) คำบรรยายนี้ตรงไปตรงมา เช่น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติบางมาตราขัดรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยก็ผูกพันทั้งรัฐสภา ครม. ศาล และองค์กรอื่นทั้งหมด แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัยคดีแพ่งให้ลูกหนี้ชาระหนี้ให้เจ้าหนี้ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่อานาจศาลรัฐธรรมนูญ จะให้คำวินิจฉัยนอกอำนาจนี้ไปผูกพันองค์กรใดๆ ก็ไม่ได้ ปัญหาจึงอยู่ที่ ใครจะเป็นผู้วินิจฉัยว่าเรื่องใดอยู่ในอำนำจศาลรัฐธรรมนูญ?

คำบรรยายดังกล่าวหน้า 32 ก็ตอบไว้ว่า “....ดังนั้นหากเกิดปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญขึ้น ผู้ที่จะมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญนั่นเองในทางกฎหมาย แต่ในเวลาเดียวกันในทางการเมือง องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญก็ย่อมมีอานาจและเอกสิทธิ์ที่จะพิจารณาการวินิจฉัยเขตอานาจของศาลรัฐธรรมนูญว่าชอบหรือไม่ ด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในทางขยายเขตอานาจของตน จนทาลายเขตอานาจของศาลหรือองค์กรอาน องค์กรเหกล่านั้นก็ย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิและอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินการเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งจะทาให้การใช้อำนาจมีการดุลและคานกัน” (ข้อความนี้ ศอ.รศ. อ้างในแถลงการณ์มาจากบทบรรยายข้าพเจ้าหน้า 32 ตัวหนามีในต้นฉบับเดิม)

แต่ที่ ศอ.รส. ไม่ได้อ้าง แต่เป็นคำบรรยายของข้าพเจ้าตอนต่อมาในหน้า 32 มีความว่า “...ถ้าเป็นเรื่องที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะมีความสำคัญสูงสุด คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะผูกพันทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล หรือองค์กรอื่น..... ความสำคัญของศำลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาพิพากษาอรรถคดีในเขตอำนำจของตนเองนั้นเป็นความสำคัญสูงสุดที่รัฐสภาและศาลอื่นจะก้าวล่วงมิได้” (ข้อความตัวหนานี้มีอยู่ในต้นฉบับคำบรรยาย)

ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้ามาปาฐกถาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 โดยมีข้อความซึ่ง ศอ.รส. อ้างไว้ในข้อ 5 ต่อไป ว่า “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายผูกพันทุกองค์กร ทั้งรัฐสภา

5) คณะรัฐมนตรี และศาลซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 ได้บัญญัติไว้ แสดงให้เห็นว่า การยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์นิติธรรม ควบคุมกฎหมาย เพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นการป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมาทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง” จึงเป็นการยืนยันสิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายในปี 2541 และเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่ใช้ในปัจจุบันบัญญัติไว้ในมาตรา 216 วรรค 5 ว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศำล และองค์กรอื่นของรัฐ” และในมาตรา 27 ว่า “สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้งโดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมได้รับความคุ้มครอง และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง”

ก็เมื่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันรัฐสภาในการตรากฎหมาย ผูกพันคณะรัฐมนตรีในการใช้บังคับกฎหมาย และผูกพันศาลและองค์กรอื่นในการตีความ จึงถือว่าศาลรัฐธรรมนูญมีสถานะไม่ด้อยกว่ำรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลอื่น ทั้งคำวินิจฉัยก็มีผลผูกพันทั่วไป (erga omnes) เหมือนกฎหมาย

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ในคาบรรยายข้าพเจ้าเมื่อปี 2541 (หน้า 33 ) ว่า “เมื่อเป็นดังนี้ ศาลรัฐธรรมนูญในทางวิชาการจึงต้องถือว่าเป็นศาลที่มีอานาจนิติบัญญัติในทางปฏิเสธ กระผมไม่ได้เอามาพูดเองนะครับ คนที่พูดเรื่องนี้ไว้ก็คือ Hans Kelsen ซึ่งเป็นเจ้าของทฤษฎีของการก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นครั้งแรกในโลก”

แต่ ศอ.รส. หาได้อ้างคำบรรยายของข้าพเจ้าให้ถูกไม่ กลับสรุปผิดๆ เอาเองว่า “เป็นการยกสถานะของศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันให้อยู่เหนือองค์กรอื่นโดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เป็นการสถาปนาอานาจตุลาการโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์” และคิดเองเออเองว่า “นายบวรศักดิ์ มีแนวคิดและความมุ่งหมายเป็นการแสดงความรับรู้การใช้อานาจตามอำเภอใจของศาลรัฐธรรมนูญ และบังคับให้องค์กรอื่นที่มีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญดุจเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญต้องยอมรับอานาจของศาลรัฐธรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยง

6ไม่ได้...” และ “...คำอภิปรายดังกล่าวเห็นได้ว่า มีความมุ่งหมายที่จะแสดงความชอบธรรมว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมความชอบธรรมด้วยรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง แม้ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ และยืนกรานให้องค์กรอื่นต้องเคารพคาวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ....”

หากผู้มีจิตใจเที่ยงธรรมอ่านคาปาฐกถาที่ ศอ.รส. อ้างมาข้างต้นทั้งหมดก็จะพบว่า ข้าพเจ้าได้ยืนยันว่า

1. ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้มีอำนำจในการวินิจฉัยเขตอำนาจของตนเอง

2. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าศาลมีเขตอำนาจในเรื่องนั้นก็จะเป็นข้อยุติทางกฎหมำย ไม่มีที่อุทธรณ์ฎีกาอีก และมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นทั้งหมด ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าคำวินิจฉัยศำลรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมาย (เพราะมีผลทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคดีอย่างคำพิพากษาศาลอื่น) อันแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญยกสถานะของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นองค์กรที่ทำหน้ำที่เท่าเทียมกับรัฐสภำ เพราะใช้อานาจยกเลิกกฎหมายที่สภาออกมาได้

ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ตามที่ ศอ.รส. กล่าวอ้าง ข้าพเจ้าไม่เคยแสดง ณ ที่ใดๆ ให้ “รับรู้การใช้อำนาจตามอาเภอใจของศาลรัฐธรรมนูญ” และข้าพเจ้ายิ่งไม่อาจ “มีความมุ่งหมายที่จะแสดงความชอบธรรมว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง แม้ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้” ข้อความเหล่านี้เป็นการ “ปั้นน้ำเป็นตัว” อย่างแท้จริง ทั้งที่ใครอ่านบทปาฐกถา และบทบรรยายเมื่อปี 2541 ของข้าพเจ้าแล้ว จะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้ายืนยันมาตลอดว่า ศาลรัฐธรรมนูญต้องตัดสินเฉพาะเรื่องที่อยู่ในเขตอำนาจ และศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลยกเว้น ไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจทั่วไปเหมือนศาลยุติธรรม จึงต้องวินิจฉัยคดีเฉพาะที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้

3. สิ่งที่ข้าพเจ้า ศอ.รส. และรัฐบาลอาจเห็นไม่ตรงกันก็คือ ข้าพเจ้าเห็นว่า “การยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์นิติธรรม ควบคุมกฎหมายเพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติม 7 รัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นกำรป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมาทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง”

ข้าพเจ้าเห็นว่าการควบคุมร่างรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายข้างมากใช้วิธีการที่มิชอบหลายประการ ผลักดันเพื่อให้แก้หลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญวางไว้ เป็นอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะควบคุมดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 291(1) วรรคสอง ที่ว่า “ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้” เมื่อรัฐธรรมนูญห้ามแก้รัฐธรรมนูญเรื่องนี้ ใครเล่าจะเป็นคนวินิจฉัยว่าทำได้หรือไม่ ถ้าให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัย หรือแม้แต่รัฐสภาวินิจฉัย ก็จะไม่มีทางใช้มาตรานี้ได้หากผู้เสนอแก้คือ ฝ่ายเสียงข้างมาก

ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเราไม่อาจให้สภาซึ่งเป็นผู้มีส่วนเสนอ และพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้วินิจฉัยเสียเอง เพราะจะขัดกับหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ (natural justice) ที่ว่า “ไม่มีใครจะเป็นผู้พิพากษาเรื่องที่ตนมีส่วนได้เสียอยู่เองได้” (no man can be a judge in his own cause) เมื่อสภาเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่อาจตัดสินสิ่งที่ตนทำได้แล้ว องค์กรที่มีหน้าที่ตัดสินคดีรัฐธรรมนูญโดยตรงก็คือศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งกระบวนกำรและเนื้อหา

จุดนี้เอง รัฐบาล และ ศอ.รส. เห็นต่าง จากข้าพเจ้าดังเห็นได้จากการแสดงความเห็นทั้งเป็นทางการ และไม่เป็นทางการโจมตีศาลรัฐธรรมนูญว่าตัดสินไปโดยไม่มีอานาจ ตัดสินไปโดยขัดหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตย ฯลฯ และดังปรากฏในแถลงการณ์ของ ศอ.รส. ฉบับก่อนๆ และคนสำคัญของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล จนถึงขั้นออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล บ้างก็ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อตุลาการผู้วินิจฉัยคดี !

แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้ และศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน ศาลรัฐธรรมนูญออสเตรีย ศาลฎีกาสหรัฐอเมริกา ศาลฎีกาอินเดีย ฯลฯ ต่างควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาทั้งสิ้นเพื่อรักษา “ความเป็นกาหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” 8 และ “นิติธรรม” ให้พ้นเงื้อมมือเสียงข้างมากที่เผด็จการ (ดูงานวิจัยเรื่อง “กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในต่างประเทศ” โดย ชมพูนุท ตั้งถาวร 2556 ซึ่งข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษา)

ความเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองของ ศอ.รส. และบรรดาผู้สนับสนุนเสียงข้างมาก และต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญนี้เอง ทำให้ปาฐกถาทางวิชาการแท้ๆ ของข้าพเจ้าที่ไม่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองใดๆ ไปจี้จุดในใจของเขาเหล่านั้นให้กรูกันออกมารุมวิพากษ์วิจารณ์ข้าพเจ้าอย่างกราดเกรี้ยวไม่สมฐานะของหน่วยงานรักษาความสงบเรียบร้อย แต่กลับไปละม้ายคล้ายเสียงวิจารณ์ของฝูงชนที่ชุมนุมกันมากกว่า ทาให้เนื้อหาและถ้อยคำของแถลงการณ์แต่ละฉบับไม่ใช่สิ่งที่เป็นระเบียบแบบแผนที่ดีของทางราชการ

3. ที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวว่า “หากเกิดปัญหาเรื่องเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญขึ้น ผู้ที่จะมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญนั่งเองในทำงกฎหมำย แต่ในเวลาเดียวกันในทางการเมือง องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญก็ย่อมมีอานาจและเอกสิทธิ์ที่จะพิจารณาการวินิจฉัยเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในทางขยายเขตอำนาจของตนจนทาลายเขตอำนาจของศาลอื่นหรือองค์กรอื่น องค์กรเหล่านั้นก็ย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิและอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้การใช้อำนาจมีการดุลคานกัน” ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันเหมือนเดิม และยิ่งมีความมั่นใจ เพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของวุฒิสภา ในคำวินิจฉัยที่ 15-18/2556 ซึ่งเป็นยุติทางกฎหมายนั้น ก็ปรากฏว่าเกิดการตอบโต้ทางการเมืองจากคนสำคัญของรัฐบาล ของรัฐสภาและของพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศไม่ยอมรับอานาจศาล ไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการฝ่ายข้างมาก ศอ.รส. ก็ร่วมออกแถลงการณ์กดดันศาลด้วย ตรงตามที่ข้าพเจ้าได้พูดไว้ในปี 2541 ทุกประการแล้ว แต่ที่ยังไม่เกิดก็คือ รัฐบาลยังไม่อาจดำเนินการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญ หรือลดอำนาจศาลแต่อย่างใด เพราะมีกลุ่มประชาชนที่ทนไม่ได้ออกมาปกป้องศาล และต่อต้านฝ่ายเสียงข้าง 9 มากจนต้องยุบสภาดังทีทราบกันดีอยู่ทั่วไป ความรุนแรงที่หากจะเกิดขึ้นตามที่ ศอ.รส. พยายามอ้าง ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายกลับไม่เคารพศาล ไม่รักษากฎหมายและนิติธรรมนั้นเสียเอง !

ต่อไปหากมีการเลือกตั้งทั่วไป ก็อาจมีความพยายามตอบโต้ศาลด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอีก เหมือนที่ในอินเดีย นางอินทิรา คานธี หัวหน้าพรรคคองเกรส เคยทำเมื่อชนะเลือกตั้งท่วมท้นและมาแก้รัฐธรรมนูญตัดอานาจศาลฎีกาอินเดีย ซึ่งเคยพิพากษาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลพรรคคองเกรสไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยให้รัฐสภามีอานาจไม่จากัดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ถูกศาลฎีกาอินเดียในคดี Minerva Mills Ltd. U Union of India (1980) ตัดสินว่าการแก้รัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจรัฐสภาให้แก้รัฐธรรมนูญอย่างไรก็ได้โดยไม่มีข้อจำกัด ขัดโครงสร้างพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ ! เป็นอันว่าศาลฎีกาอินเดียยังคงเป็นก้างขวางคอพรรครัฐบาลเสียงข้างมากของอินเดียมาจนถึงทุกวันนี้

ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี มาร์กาเรต แทตเชอร์ ของอังกฤษ กล่าวไว้ในอดีตยังคงเป็นความจริงในวันนี้ จึงเป็นข้ออ้างมาเป็นบทสรุปคาชี้แจงนี้ ว่า

“การเป็นประชาธิปไตยยังไม่เพียงพอ เสียงข้างมากไม่อาจเปลี่ยนสิ่งที่ผิดให้ถูกได้ หากจะเป็นประเทศเสรีจริงๆ ประเทศนั้นต้องมีความรักที่ลึกซึ้งต่อเสรีภาพ และเคารพหลักนิติธรรมอย่างผูกพันไม่เสื่อมคลาย”

“Being democratic is not enough, a majority cannot turn what is wrong into right. In order to be considered truly free, countries must also have a deep love of liberty and an abiding respect for the rule of law”

Margaret Thatcher


กำลังโหลดความคิดเห็น