องค์การออกซ์แฟม –องค์การพัฒนาเอกชนและหน่วยงานเกษตรอินทรีย์แสดงความเป็นห่วงถึงผลกระทบโลกร้อนที่มีต่อผลผลิตพืชเมืองหนาวในภาคเหนือโดยเฉพาะกาแฟและลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก เตือนเกษตรกรยังมีความเข้าใจและตื่นตัวในเรื่องนี้ต่ำ ซึ่งอาจทำให้การปรับตัวช้าเกินแก้
สืบเนื่องมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้คุณภาพและผลผลิตของพืชเศรษฐกิจหลักๆ ของภาคเหนือ อาทิเช่น ลำไย ลิ้นจี่ กาแฟ รวมถึงข้าวซึ่งเกษตรกรปลูกไว้บริโภคเองลดลง จึงมีการจัดงาน “ร้อน ลม ฝน-การปรับตัวของเกษตรกรภาคเหนือกับภาวะโลกร้อน” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของเกษตรกรและหน่วยงานต่างๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.56
งานดังกล่าวจัดขึ้นโดย องค์การออกซ์แฟม (Oxfam) มูลนิธิสายใยแผ่นดิน (Earth Net Foundation – ENF) มูลนิธินโยบายสุขภาวะ และศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (CCKM) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ซึ่งภายในงานมีผู้เข้าปรมาณ 100 คนจากเกษตรกรผู้ปลูกไม้ผล หน่วยงานราชการและองค์กรพัฒนาเอกชนทั้งในจังหวัดและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
น.ส.สุนทรี แรงกุศล ผู้อำนวยการอ็อกแฟมประเทศไทยกล่าวว่า การปรับตัวต่อโลกร้อนเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนมาก ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานกับชาวนาในภาคอีสาน พบว่าการปรับตัวที่ถูกต้องช่วยลดผลกระทบโลกร้อนได้ “เราพบว่าเกษตรกรทุกครัวเรือนที่เข้าโครงการมีผลผลิตที่เสียหายน้อยกว่าเกษตรกรทั่วไป แม้แต่ในปีที่ภัยพิบัติหนักที่สุดไม่ว่าจะภัยแล้งหรือน้ำท่วม ครอบครัวที่ทำการปรับตัวก็ยังมีผลผลิตที่เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือนแม้ไม่มีเหลือขายเหมือนปีปกติ”
ผลการศีกษาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถิติจากกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าภาคเหนือมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดและต่ำสุดเพิ่มขึ้น เช่น อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยในช่วงเดือน เม.ย.2513-2543 ของจังหวัดชียงใหม่คือ 37 องศาเซลเซียส แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 39.5 องศาเซลเซียส และแม้ปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก การกระจายตัวของฝนกลับลดลงอย่างมาก โดยเห็นได้จากที่ฝนจะตกหนักและแรงบางจุดช่วงสั้นๆ แล้วขาดช่วงไปนานกว่าจะกลับมาอีกในลักษณะเดิม
น.ส.วราทิพย์ วีรกิจ เจ้าหน้าที่ประสานงานภาคสนามของมูลนิธิสายใยแผ่นดิน ยกตัวอย่างผลสรุปล่าสุดของคณะทำงานประมาณการผลผลิตผลไม้เศรษฐกิจภาคเหนือว่าปริมาณผลผลิตลิ้นจี่และลำไยในปี 2556 จะลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนและไม่เอื้อต่อการติดดอก และเกิดผลที่ได้คุณภาพนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจเลยเพราะพืชในภาคเหนือเป็นพืชเมืองหนาว แต่ไม่เหมือนประเทศแถบยุโรปหรืออเมริกาซึ่งอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทำให้อากาศอบอุ่นกระตุ้นการเติบโตของพืช แต่ที่นี่จะกลายเป็นร้อนมากขึ้นแทนหรือไม่ก็น้ำฝนมากเกินไป ส่งผลเสียมากกว่าผลดีทั้งต่อพืช คน และสัตว์
“พืชเศรษฐกิจเมืองเหนือนั้น โดยธรรมชาติต้องการอุณหภูมิต่ำเพื่อการออกดอก เกษตรกรต้องตื่นตัวมากกว่านี้ เพราะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้เราต้องมีการวางแผนการปลูกที่รัดกุมมากขึ้น การเรียนรู้สภาพอากาศต้องลึกขึ้น การตรวจสอบต้องบ่อยขึ้นและมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบมากขึ้น” นางสาววราทิพย์กล่าว
โดยในงานนี้ องค์การออกซ์แฟม มูลนิธิสายใยแผ่นดิน มูลนิธินโยบายสุขภาวะ และ CCKM ได้เปิดตัวศูนย์พยากรณ์อากาศชุมชนที่ ต.แม่ทา จ.เชียงใหม่ ด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 2 ศูนย์ที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้โครงการนำร่องเพื่อพัฒนาต้นแบบการปรับตัวชุมชนต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก โดยจังหวัดยโสธรเป็นพื้นที่แรกที่มีการเปิดศูนย์พยากรณ์แล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
“นอกจากการจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ เช่น ชลประทานขนาดเล็ก เพราะพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ยังอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยด้านการพยากรณ์อากาศเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะสถานการณ์โลกร้อนรุนแรงขึ้นทุกปี ส่งผลให้ปัญหาการจัดการน้ำและวิกฤติน้ำรุนแรงตามไปด้วย เราจะมีน้ำไม่พอต่อการปลูกพืชเหล่านี้อย่างแน่นอน สภาวะโลกร้อนยังทำให้มีความเสี่ยงที่โรคและแมลงศัตรูพืชจะกลับมาหรือระบาดหนักกว่าเดิมด้วย” น.ส.สุนทรีกล่าว
ความแตกต่างระหว่างศูนย์พยากรณ์อากาศชุมชนแห่งนี้กับสถานีพยากรณ์อากาศทั่วไปคือ ความละเอียดและขอบเขตการพยากรณ์ เนื่องจากเป็นศูนย์พยากรณ์อากาศที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลในตำบลเฉพาะเจาะจง จึงมีความแม่นยำสูงกว่า ภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ เกษตรกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดยข้อมูลพยากรณ์จะครอบคลุมระยะเวลา 1 เดือน และ 1 สัปดาห์ล่วงหน้าเพื่อให้เกษตรกรสามารถวางแผนระยะสั้น และระยะกลาง ได้
“หลังจากทำการทดลองอยู่ถึงเกือบสองปีที่ยโสธร อัตราความแม่นยำของข้อมูลพยากรณ์ตอนนี้มีมากถึง 90% ในเชียงใหม่ขบวนการพัฒนาการพยากรณ์เพิ่งจะเริ่มต้นและยังต้องมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตรงกับความต้องการและสถานการณ์ของเกษตรกรในเชียงใหม่ เบื้องต้นเราคาดการณ์ว่าจะมีเกษตรกรประมาณ 110,000 คนที่ได้รับประโยชน์จากศูนย์นี้ เราหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นก้าวแรกของการนำเอาข้อมูลพยากรณ์มาใช้ประโยชน์ในเทางเกษตรในเชิงลึกมากขึ้น” น.ส.วราทิพย์กล่าว
สืบเนื่องมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้คุณภาพและผลผลิตของพืชเศรษฐกิจหลักๆ ของภาคเหนือ อาทิเช่น ลำไย ลิ้นจี่ กาแฟ รวมถึงข้าวซึ่งเกษตรกรปลูกไว้บริโภคเองลดลง จึงมีการจัดงาน “ร้อน ลม ฝน-การปรับตัวของเกษตรกรภาคเหนือกับภาวะโลกร้อน” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของเกษตรกรและหน่วยงานต่างๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.56
งานดังกล่าวจัดขึ้นโดย องค์การออกซ์แฟม (Oxfam) มูลนิธิสายใยแผ่นดิน (Earth Net Foundation – ENF) มูลนิธินโยบายสุขภาวะ และศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (CCKM) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ซึ่งภายในงานมีผู้เข้าปรมาณ 100 คนจากเกษตรกรผู้ปลูกไม้ผล หน่วยงานราชการและองค์กรพัฒนาเอกชนทั้งในจังหวัดและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
น.ส.สุนทรี แรงกุศล ผู้อำนวยการอ็อกแฟมประเทศไทยกล่าวว่า การปรับตัวต่อโลกร้อนเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนมาก ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานกับชาวนาในภาคอีสาน พบว่าการปรับตัวที่ถูกต้องช่วยลดผลกระทบโลกร้อนได้ “เราพบว่าเกษตรกรทุกครัวเรือนที่เข้าโครงการมีผลผลิตที่เสียหายน้อยกว่าเกษตรกรทั่วไป แม้แต่ในปีที่ภัยพิบัติหนักที่สุดไม่ว่าจะภัยแล้งหรือน้ำท่วม ครอบครัวที่ทำการปรับตัวก็ยังมีผลผลิตที่เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือนแม้ไม่มีเหลือขายเหมือนปีปกติ”
ผลการศีกษาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถิติจากกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าภาคเหนือมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดและต่ำสุดเพิ่มขึ้น เช่น อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยในช่วงเดือน เม.ย.2513-2543 ของจังหวัดชียงใหม่คือ 37 องศาเซลเซียส แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 39.5 องศาเซลเซียส และแม้ปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก การกระจายตัวของฝนกลับลดลงอย่างมาก โดยเห็นได้จากที่ฝนจะตกหนักและแรงบางจุดช่วงสั้นๆ แล้วขาดช่วงไปนานกว่าจะกลับมาอีกในลักษณะเดิม
น.ส.วราทิพย์ วีรกิจ เจ้าหน้าที่ประสานงานภาคสนามของมูลนิธิสายใยแผ่นดิน ยกตัวอย่างผลสรุปล่าสุดของคณะทำงานประมาณการผลผลิตผลไม้เศรษฐกิจภาคเหนือว่าปริมาณผลผลิตลิ้นจี่และลำไยในปี 2556 จะลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนและไม่เอื้อต่อการติดดอก และเกิดผลที่ได้คุณภาพนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจเลยเพราะพืชในภาคเหนือเป็นพืชเมืองหนาว แต่ไม่เหมือนประเทศแถบยุโรปหรืออเมริกาซึ่งอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทำให้อากาศอบอุ่นกระตุ้นการเติบโตของพืช แต่ที่นี่จะกลายเป็นร้อนมากขึ้นแทนหรือไม่ก็น้ำฝนมากเกินไป ส่งผลเสียมากกว่าผลดีทั้งต่อพืช คน และสัตว์
“พืชเศรษฐกิจเมืองเหนือนั้น โดยธรรมชาติต้องการอุณหภูมิต่ำเพื่อการออกดอก เกษตรกรต้องตื่นตัวมากกว่านี้ เพราะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้เราต้องมีการวางแผนการปลูกที่รัดกุมมากขึ้น การเรียนรู้สภาพอากาศต้องลึกขึ้น การตรวจสอบต้องบ่อยขึ้นและมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบมากขึ้น” นางสาววราทิพย์กล่าว
โดยในงานนี้ องค์การออกซ์แฟม มูลนิธิสายใยแผ่นดิน มูลนิธินโยบายสุขภาวะ และ CCKM ได้เปิดตัวศูนย์พยากรณ์อากาศชุมชนที่ ต.แม่ทา จ.เชียงใหม่ ด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 2 ศูนย์ที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้โครงการนำร่องเพื่อพัฒนาต้นแบบการปรับตัวชุมชนต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก โดยจังหวัดยโสธรเป็นพื้นที่แรกที่มีการเปิดศูนย์พยากรณ์แล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
“นอกจากการจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ เช่น ชลประทานขนาดเล็ก เพราะพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ยังอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยด้านการพยากรณ์อากาศเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะสถานการณ์โลกร้อนรุนแรงขึ้นทุกปี ส่งผลให้ปัญหาการจัดการน้ำและวิกฤติน้ำรุนแรงตามไปด้วย เราจะมีน้ำไม่พอต่อการปลูกพืชเหล่านี้อย่างแน่นอน สภาวะโลกร้อนยังทำให้มีความเสี่ยงที่โรคและแมลงศัตรูพืชจะกลับมาหรือระบาดหนักกว่าเดิมด้วย” น.ส.สุนทรีกล่าว
ความแตกต่างระหว่างศูนย์พยากรณ์อากาศชุมชนแห่งนี้กับสถานีพยากรณ์อากาศทั่วไปคือ ความละเอียดและขอบเขตการพยากรณ์ เนื่องจากเป็นศูนย์พยากรณ์อากาศที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลในตำบลเฉพาะเจาะจง จึงมีความแม่นยำสูงกว่า ภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ เกษตรกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดยข้อมูลพยากรณ์จะครอบคลุมระยะเวลา 1 เดือน และ 1 สัปดาห์ล่วงหน้าเพื่อให้เกษตรกรสามารถวางแผนระยะสั้น และระยะกลาง ได้
“หลังจากทำการทดลองอยู่ถึงเกือบสองปีที่ยโสธร อัตราความแม่นยำของข้อมูลพยากรณ์ตอนนี้มีมากถึง 90% ในเชียงใหม่ขบวนการพัฒนาการพยากรณ์เพิ่งจะเริ่มต้นและยังต้องมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตรงกับความต้องการและสถานการณ์ของเกษตรกรในเชียงใหม่ เบื้องต้นเราคาดการณ์ว่าจะมีเกษตรกรประมาณ 110,000 คนที่ได้รับประโยชน์จากศูนย์นี้ เราหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นก้าวแรกของการนำเอาข้อมูลพยากรณ์มาใช้ประโยชน์ในเทางเกษตรในเชิงลึกมากขึ้น” น.ส.วราทิพย์กล่าว