ไทยเตรียมเดินทาง ร่วมงานใหญ่ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ "ไบโอ2008" ที่สหรัฐฯ พร้อมประกาศขอเป็นศูนย์กลางการแพทย์โลก ระบุปีที่ผ่านมา นำเสนอด้านความหลากหลายชีวภาพ และได้รับความสำเร็จในการลงทุนระหว่างต่างชาติ 2-3 ราย
ก่อนเดินทางไปร่วมงานใหญ่ระดับโลก อย่างการแสดงนิทรรศการและเจรจาความร่วมมือทางเทคโนโลยีชีวภาพ "ไบโอ2008" (Bio2008) ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่เมืองซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 17-20 มิ.ย.51 โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (ทีเซลส์)
3 หน่วยงานหัวหอกที่เตรียมผลงานเทคโนโลยีชีวภาพของไทยไปอวด ก็เปิดโต๊ะแถลงข่าว "เทคโนโลยีชีวภาพ: ความพร้อมของประเทศไทยในเวทีโลก" ณ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.51 ที่ผ่านมาซึ่งผู้จัดการวิทยาศาสตร์และสื่อมวลชนอีกหลายฉบับได้เข้าร่วมงานแถลงข่าวดังกล่าว
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะก้าวสู่วิทยาศาสตร์ฐานโมเลกุล ซึ่งเทคโนโลยีชีวภาพจะเป็นฐานที่สำคัญ สำหรับไทยเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ได้ก่อตั้งศูนย์แห่งชาติคือศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และได้เกิดศูนย์แห่งชาติตามาอีก 3 ศูนย์ และภายหลังได้ทำงานภายใต้ สวทช.
สำหรับงานทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพของไทย ดร.ศักรินทร์ กล่าวว่า มีด้านการตรวจสอบพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์กุ้ง งานวิจัยด้านข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ส่วนงานนิทรรศการไบโอที่จะไปนี้ ตั้งใจเน้นนำเสนอการเป็นศูนย์กลางการแพทย์ของโลก (Medical Hub of the World) ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไทยมีทัวร์สุขภาพเข้ามามาก ทั้งนี้นอกจากความสามารถในการบริการที่ดีแล้ว เราจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีการบริการที่ดีด้วย
"ไบโอ2008 เป็นงาน มีคนร่วมงานถึง 20,000 คน ที่ผ่านมาหลังจากที่เราได้ไปร่วมงาน ก็มีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจับมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน หรือเอกชน-เอกชน โดยปีที่แล้วเราเน้นนำเสนอเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งก็มีความสำเร็จชัดๆ 2-3 ราย เช่น การดึงให้เกิดความร่วมมือทางด้านปุ๋ยชีวภาพ หรือการร่วมลงทุนเกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์เพื่อหาสารออกฤทธิ์ เป็นต้น" ดร.ศักรินทร์กล่าว พร้อมเผยว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีเอกชนไปด้วยประมาณ 10 ราย
ทางด้านนายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงนโยบายของบีโอไอ ในการส่งเสริมให้มีการลงทุนทำวิจัย 3 ด้าน คือ ด้านแรกเป็นการส่งเสริมกิจการลงทุนทางด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การลงทุนด้านเครื่องมือแพทย์หรือเวชภัณฑ์ เป็นต้น
ด้านที่สองเป็นการส่งเสริมให้เอกชนพัฒนาทักษะสู่นวัตกรรมมากขึ้น และอีกด้านคือคือการส่งเสริมให้บริษัทไทยทำวิจัยเพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจ โดยมีแรงจูงใจทางด้านภาษีที่สามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนได้
"บีโอไอทำนโยบายส่งเสริมงานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ กับทางไบโอเทคและทีเซลส์ใน 4 ด้านคือ การปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ การพัฒนาเวชภัณฑ์ การพัฒนาชุดตรวจเพื่อการเกษตร อาหารและสิ่งแวดล้อม และการใช้เซลล์พืช สัตว์และจุลินทรีย์เพื่อผลิตสารออกฤทธิ์ชีวภาพ" นายสาธิตกล่าวบนเวทีแถลงข่าว และเพิ่มเติมว่าบีโอไอรับผิดชอบในการเชิญชวนบริษัทต่างๆ ให้ทราบการส่งเสริมและการลงทุนต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น.
