นิวยอร์กไทม์ส /ยูคอนน์-ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์มักอ้างเสมอว่าคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟตลอดจนเครื่องดื่มหลากหลายชนิดถือเป็นยาขับปัสสาวะชั้นเยี่ยม และการเสพคาเฟอีนจำนวนมากอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ทว่าความเชื่อนี้อาจถูกปัดให้ตกไป เมื่อทบทวนงานวิจัยที่ยืนยันว่าคาเฟอีนที่พอเหมาะก็ไม่ต่างไปจากน้ำเปล่าเท่าใดนัก
ข้อสรุปใหม่นี้เกิดขึ้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัต (University of Connecticut : UConn) ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทบทวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านการเผาผลาญอาหารที่เกี่ยวกับการกีฬา โภชนาการและการออกกำลังกาย ที่ชื่อ "สปอร์ตนูทริชัน แอนด์ เอ็กเซอร์ไซส์เมทาบอลิซึม" (Sport Nutrition and Exercise Metabolism) ใน มิ.ย.45 จำนวน 10 ชิ้น
ทั้งนี้ เขาเก็บข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับข้ออ้างที่ระบุว่า คาเฟอีนที่มีฤทธิ์ทำให้ร่างกายขาดน้ำ (Dehydration) จนนำไปสู่ข้อสรุปว่า หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม "คาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะไม่ต่างจากน้ำเปล่า"
"ภาวะการขาดน้ำ" นั้นเป็นผลมาจากการสูญเสียของเหลวในร่างกายมากเกินไป การดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มไม่เพียงพอ การอาเจียน และการป่วยเป็นโรคท้องร่วง
อีกทั้งทารกและเด็กจะไวต่อภาวะขาดน้ำมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากน้ำหนักตัวที่น้อยกว่า และมีอัตราการผันน้ำและอิเล็กโตรไลต์ (electrolyte) ซึ่งเป็นสารประกอบเมื่อละลายน้ำแล้วจะกลายเป็นตัวนำไฟฟ้าและแตกตัวเป็นไอออนได้มากกว่า โดยความเปราะบางนี้ยังพบในคนชราและผู้ที่กำลังป่วยเช่นกัน โดยระดับของการขาดน้ำมี 2 ระดับคือ อย่างอ่อน และปานกลาง
ในส่วนของปริมาณไอออนในร่างกายกับความสัมพันธ์ต่อภาวะการขาดน้ำนั้น ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ปรมาจารย์ด้านชีวเคมีของไทย อธิบายเสริมว่า ปกติแล้วร่างกายมนุษย์จะปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของไอออนชนิดต่างๆ ที่ได้มาจากอาหารและเครื่องดื่มให้อยู่ในภาวะสมดุล แต่หากร่างกายสูญเสียน้ำไปมากก็จะทำให้ของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำเลือดมีความเข้มข้นของกรดและเบสมากขึ้น ซึ่งหากไม่ใช่รายที่มีอาการรุนแรงจริงๆ จะไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะร่างกายจะปรับสมดุลเองได้
อย่างไรก็ดี จากการทบทวนงานวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์จากยูคอนน์ พบว่างานวิจัยส่วนใหญ่ทดลองเปรียบเทียบระหว่างการดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนกับการใช้ยาหลอก (placebo) คือดื่มน้ำเปล่าแต่ทำให้เชื่อว่ามีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่ ผลปรากฎว่าแทบจะไม่พบความแตกต่างของปริมาณปัสสาวะของผู้ดื่มเครื่องดื่มทั้ง 2 ชนิด
การทบทวนงานวิจัยทั้ง 10 ชิ้น รายที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ จะกลายเป็นของเสียในร่างกาย 0-84% ของที่ดื่มเข้าไปตั้งแต่แรก ขณะที่การดื่มน้ำเปล่าจะกลายเป็นของเสียในปริมาณใกล้เคียงกันคือ 0-81%
ส่วนงานวิจัยอีกชิ้นที่นำมายืนยันข้อสรุปใหม่ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสารหัวเดียวกันเมื่อปี 2548 ได้เก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่ที่กระตือรือร้น 59 คน พวกเขาถูกควบคุมการบริโภคคาเฟอีนเป็นเวลากว่า 11 วัน โดยจะได้รับคาเฟอีนแคปซูลเป็นบางวัน และบางวันก็รับแคปซูลที่หลอกว่ามีคาเฟอีนผสมอยู่ นักวิจัยพบว่าแทบไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของระดับไอออนในน้ำปัสสาวะและปริมาณน้ำปัสสาวะ
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของลาร์รี อาร์มสตรอง (Larry Amstrong) ศาสตราจารย์ด้านการออกกำลังและสภาพแวดล้อมของสรีรศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ม.คอนเนตทิคัต (Neag School of Education) ซึ่งทำงานวิจัยเกี่ยวกับของเหลวมาตั้งแต่ปี 2524 โดยระบุว่า ถ้าบริโภคคาเฟอีนเข้าไปในปริมาณปานกลางก็จะไม่มีผลต่อภาวะการขาดน้ำภายในร่างกาย
ผลจากการศึกษาของอาร์มสตรองซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสารฉบับที่อ้างไว้ในตอนแรกพบว่า..
- เมื่อบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไป ร่างกายก็จะเก็บน้ำไว้ส่วนหนึ่ง
- การบริโภคคาเฟอีนเป็นเหตุให้เกิดภาวะปัสสาวะผิดปกติเล็กน้อย ซึ่งน้ำก็ทำให้เกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน
- ยังไม่มีหลักฐานชี้ว่าการบริโภคเครื่องดื่มคาเฟอีนเป็นผลให้เกิดความไม่สมดุลของอิเลกโตรไลต์
- ผู้ที่บริโภคคาเฟอีนเป็นประจำจะทนทานต่อภาวะปัสสาวะมากผิดปกติได้มากกว่า
- การพิจารณาความปลอดภัยหรือเสี่ยงจากการบริโภคคาเฟอีนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมทั้งปริมาณที่บริโภค และความต้านทานต่อคาเฟอีน
หลายทศวรรษมาแล้วที่คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่ได้รับความนิยมจากบรรดานักกีฬา เพื่อทำน้ำหนักหรือเพิ่มกล้ามเนื้อก่อนการแข่งขัน อีกทั้งสมาคมกีฬาระดับวิทยาลัยของสหรัฐฯ (NCAA) และคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้จัดประเภทไว้ในกลุ่มสารต้องห้ามที่มีคุณสมบัติเป็นยาโด๊ป
อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดกรณีตัวอย่างความผิดปกติและการถ่ายปัสสาวะมากผิดปกติในหมู่นักกีฬาหลายต่อหลายกรณี อาร์มสตรองรายงานว่าตัวอย่างเหล่านี้ไม่อาจนำมาตีความได้ ว่าถัวเฉลี่ยคนทั่วไปซึ่งออกกำลังกายหลายครั้งต่อสัปดาห์จะได้รับอันตรายต่อสุขภาพใดๆ จากการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีสารคาเฟอีนหนึ่งหรือสองชิ้นต่อวันเลย
สำหรับการวิเคราะห์ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเขาได้เน้นไปยังการบริโภคคาเฟอีนระดับปานกลาง หรือเท่ากับการดื่มกาแฟ 1-4 ถ้วยต่อวัน โดยเขาให้สัมภาษณ์เมื่อ 6 ปีที่แล้วว่าเขาจะเดินหน้าศึกษาเพื่อดูว่าอาการติดเป็นนิสัยของการเสพคาเฟอีนปริมาณมากๆ เป็นเวลาหลายวันว่าจะมีผลต่อสมดุลของของเหลวในร่างกายและอิเล็กโตรไลต์หรือไม่.