ตลาดรถอเนกประสงค์เกิน 7 ที่นั่งในประเทศไทยนั้นถือว่ามีตัวเลือกให้คบหาไม่เยอะนัก แบรนด์หลักที่คุ้นหูคุ้นตา ได้แก่ “ฮุนได เอชวัน” กับ “เกีย แกรนด์ คาร์นิวัล” และล่าสุด โตโยต้า โดดมาร่วมวงด้วย “มาเจสตี้” ทำให้ตลาดนั้นคึกคักขึ้นมาทันที และทุกค่ายต่างมีการขยับปรับกระตุ้นตลาดกันไม่น้อย โดยเฉพาะค่าย เกีย
โดยช่วงปลายปีที่ผ่านมา เกีย ได้เสริมทัพนำเอา แกรนด์ คาร์นิวัล รุ่นประกอบเวียดนาม เข้ามาจำหน่าย ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1,397,000 บาท ซึ่งทำตลาดแทนรุ่น LX (ผลิตเกาหลี) ที่เดิมจำหน่ายในราคา 1,661,000 บาท ดังนั้นเพื่อเป็นข้อมูลช่วยในการประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อ ทีมงานเอ็มจีอาร์ จึงทดลองขับ เกีย แกรนด์ คาร์นิวัล พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่างในแต่ละรุ่นย่อย
LX เน้นคุ้มค่า SXL ครบหรู
สำหรับหัวใจนั้นทุกรุ่นย่อยใช้เครื่องยนต์เหมือนกันคือ ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.2 ลิตร คอมมอนเรล เทอร์โบแปรผัน VGT กำลังสูงสุด 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4
ความโดดเด่นของเกีย แกรนด์ คาร์นิวัล อยู่ที่การมีเบาะแบบ 11 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งแถวสุดท้ายมีฟังก์ชันพับเก็บแบนราบไปกับพื้นรถได้ ทำให้สามารถนั่ง 8 คนพร้อมกับขนสัมภาระ เช่น กระเป๋าเดินทางหรือถุงกอล์ฟไปด้วยได้อย่างสะดวกสบาย
สำหรับรุ่น LX ผลิตเวียดนามทำให้ราคาถูกลงมาอยู่ที่ 1,397,000 บาท เนื่องจากได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีนำเข้าเหลือ 0% แม้จะมีราคาที่ถูกลง แต่กลับมีออปชันที่เพิ่มขึ้น เช่น ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวESC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCSระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HACระบบเสริมแรงเบรก BAS
ส่วนความบันเทิงระบบวิทยุสามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Andriod Auto ได้ (รุ่น LX ผลิตเกาหลีก่อนหน้าไม่สามารถเชื่อมต่อได้ ) โดยเบาะนั่งจะเป็นเบาะผ้าสีเบจ นอกนั้นเหมือนเดิม
ขณะที่ตัวกลางรุ่น EX ราคา 1,991,000 บาท เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกจากรุ่น LX มากขึ้น เช่นระบบประตูสไลด์ข้างไฟฟ้า ประตูท้ายไฟฟ้าพร้อมระบบ Smart Entry และที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto-Hold เบาะนั่งจะเป็นเบาะหนังแท้สีเบจ
ในส่วนของรุ่นท็อปสุด SXL ราคา 2,292,000 บาท มีการเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยจากรุ่น EX แบบอัดแน่นเช่น ระบบทำความเย็นที่เบาะคู่หน้า ระบบบันทึกตำแหน่งเก้าอี้ที่นั่งคนขับและกระจกมองข้าง พร้อมทั้งซันรูฟไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง และยังมีระบบเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Detection), ระบบกระจกและประตูสไลด์ไฟฟ้ากันหนีบ รวมถึงม่านนิรภัย (Curtain Airbags) รอบคัน
สรุปความจากสเปก ถ้ามองความคุ้มค่าเลือกตัว LX ด้วยส่วนต่างราคาเกือบ 6 และ 9 แสนบาท เมื่อเทียบกับรุ่นที่เหนือกว่า ขณะที่ถ้ามองส่วนต่างราคา 3 แสนบาทระหว่าง EX กับ SXL เราะแนะนำเลือก ตัวท็อป เพราะได้ครบถ้วนไม่ต้องตกแต่งเพิ่มเติม
ขับง่ายคล่องตัวในเมือง
การทดลองขับคราวนี้รุ่นที่เรานำมาใช้งานเป็นตัวท็อป SXL ว่ากันด้วยเรื่องของการใช้งานในเมืองก่อน เพราะจุดเด่นที่สุดของ เกีย แกรนด์ คาร์นิวัล พื้นฐานของรถและลักษณะในการขับขี่ที่แทบจะไม่แตกต่างจากการขับรถเก๋งธรรมดา เพียงแค่ต้องระวังเพิ่มขึ้นเวลาถอยจอดและระแวงในส่วนของความกว้างเวลาขับเท่านั้น
ด้วยคุณสมบัติของการออกแบบที่เหมือนรถยนต์นั่งทั่วไป ทำให้การขับขี่ง่ายดาย ทัศนวิสัยโดยรวมชัดเจนกะระยะทางด้านหน้าง่าย ส่วนทางด้านหลังมีเซนเซอร์และกล้องช่วยจึงหายห่วง การบังคับควบคุมพวงมาลัยเบามือ รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร เลี้ยวเข้าซอยแคบได้อย่างไม่ต้องกังวลใจนักแม้ตัวรถจะยาวกว่า 5 เมตร ก็ตาม
อัตราเร่ง ค่อนข้างทันใจดี การเปลี่ยนเกียร์ไหลลื่นนุ่มนวล จะมีข้อติงในเรื่องเสียงดังรบกวนของเครื่องยนต์ที่ดังเข้ามาให้ได้ยินในห้องโดยสารอยู่บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของรถเครื่องยนต์ดีเซลที่มักจะเสียงดัง แต่จะได้ข้อดีคืออัตราเร่งและความประหยัดในการใช้งาน
สำหรับตำแหน่งผู้โดยสารแถวที่สอง ถือว่าสบายที่สุดในจำนวนเบาะนั่งทั้ง 11 ตำแหน่ง ด้วยประตูไฟฟ้า 2 ข้างขึ้นลงสะดวก พื้นที่กว้างขวางเหยียดขาได้ไม่ติด พร้อมกับความบันเทิงจากจอส่วนตัวหลังเบาะ ซ้าย-ขวา ระบบปรับอากาศแยกส่วนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เย็นถึงทั่วคันแบบไม่ต้องกังวล
ส่วนเบาะนั่งแถวสุดท้าย พับเก็บได้ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ใช้งานจริง มักจะพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระและเก็บของได้มากขึ้น แน่นอนว่าจะต้องมีคำถามว่า นั่งได้หรือไม่ คำตอบคือ นั่งได้ แต่จะนั่งสบายเท่ากับเบาะอื่นนั้นคงไม่ใช่เพราะตำแหน่งที่อยู่คือแถวสุดท้าย หลังล้อหลังซึ่งจะมีแรงสะเทือนมากกว่าตำแหน่งอื่นอย่างแน่นอน
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงคือเรื่องของการเข้าโค้ง หากเทียบกับคู่แข่งในแบบ 11 ที่นั่งด้วยกันแล้ว เกีย แกรนด์ คาร์นิวัล ถือว่าทำได้ประทับใจที่สุด รวมถึงการขับเข้าไปในห้างหรือที่จอดรถซึ่งมักจะมีความสูงของเพดานเตี้ย เกีย แกรนด์ คาร์นิวัล สามารถผ่านได้อย่างปลอดภัยไร้รอยเมื่อเพดานสูงกว่า 1.9 เมตรขึ้นไป
ประเด็นสำคัญที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยลังเลในการตัดสินใจคือ เรื่องของศูนย์บริการของเกีย ที่ต้องยอมรับว่า ยังไม่แพร่หลาย แต่หากนึกถึงวิถีในปัจจุบัน เกีย ได้เพิ่มบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงให้เป็นมาตรฐานแก่ทุกคัน รวมถึงมีบริการรับส่งหากต้องการนำรถมาเข้าศูนย์โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินทางออกจากบ้านผ่านโปรแกรม KIA Service from Home ที่ออกมาในช่วงโควิด-19 นี้ น่าจะมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ถึงบรรทัดนี้ คงเป็นเรื่องของอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยจากการขับในเมืองแบบรถติดพอสมควรตามปกติของเรา ตัวเลขบนหน้าจอระบุ 6-8 กม./ลิตร นับว่าพอรับได้ ส่วนการขับนอกเมืองแบบทางยาวๆ ตัวเลขค่อนข้างดีมากเราเห็นระดับ 14-16 กม./ลิตร ยิ่งถ้าขับด้วยความเร็วคงที่ไม่เกิน 100 กม./ชม. ตัวเลขน่าจะดีกว่านี้อีก
เหมาะกับใคร
รถสำหรับครอบครัวใหญ่ ตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป ยิ่งถ้ามีผู้สูงวัยน่าจะเหมาะ เพราะด้วยความสูงของตัวรถที่ไม่มากทำให้ขึ้น-ลงสะดวก คล่องตัวแม้ใช้งานในเมือง น่าจะตอบโจทย์ได้ตรงที่สุด รวมถึงคนที่ชอบขับรถเอง จะไม่ถูกมองว่าเป็นพนักงานขับรถเมื่อท่านลงจาก เกีย แกรนด์ คาร์นิวัล