ดูดีและโดดเด่นทีเดียวครับ สำหรับ“เอ็กซ์4” (X4) เอสยูวีสไตล์คูเป้ พื้นฐานการพัฒนาเดียวกับรุ่น“เอ็กซ์3” ซึ่งเป็นแนวทางที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยทำมาแล้วกับ “เอ็กซ์5” และ “เอ็กซ์6”
ด้วยคอนเซปต์หล่อล่ำ ออกแบบให้ดูบึกบึนมีมัดกล้าม พร้อมเส้นสายของเสาซีที่ลาดเอียง ตัวรถ/ระดับหลังคาต่ำกว่า“เอ็กซ์3”เล็กน้อย ประกบล้ออัลลอย 19 นิ้วซึ่งเป็นหนึ่งในชุดแต่ง M Sport ยิ่งส่งให้รถดูสง่างาม
โดยรุ่นX4 xDrive20d M Sport ที่ผู้เขียนได้ลองขับ วางเครื่องยนต์ดีเซลเจเนอเรชันใหม่ รหัสB47 เหมือนรถยนต์ดีเซลรุ่นอื่นๆของค่าย (เดิมรหัสN47) กับบล็อก 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที (ถ้าเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นเดิม 184 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที (เดิม 380 นิวตันเมตร) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive
แม้จะเป็นเครื่องยนต์เดียวกับ X3 xDrive20d แต่สัมผัสการขับรวมๆเหมือน“เอ็กซ์4” จะปราดเปรียว เฉียบคมกว่านิดๆ พวงมาลัยแบบเซอร์โวไฟฟ้าสั่งงานแม่นยำ ทั้งน้ำหนักและการควบคุมช่วยผ่อนแรงและหน่วงมือตามสภาพการขับขี่ สอดคล้องกับช่วงล่างหนึบแน่นแต่ไม่กระด้าง ขณะที่การตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์อารมณ์ไม่ถึงกับพุ่งกระชาก ออกแนวนุ่มนวลต่อเนื่องตามสไตล์รถยนต์ดีเซล และถ้าอยากได้กำลังแรงทันที อาจจะต้องเหยียบคันเร่งลงไปลึกหน่อย ด้านอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 8.0 วินาที ดีกว่า “เอ็กซ์3” เครื่องยนต์เดียวกัน 0.1 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 212 กม./ชม.
ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive เหมือนเป็นระบบปิดทองหลังพระ เพราะระบบนี้จะคำนวณแรงบิดไปสู่ล้อหน้า-หลัง ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ ดังนั้นที่บอกว่า เอสยูวีบีเอ็มดับเบิลยูขับดีสมรรถนะเยี่ยม ส่วนหนึ่งเพราะ xDrive นี่ละครับ จึงไม่แปลกที่เอสยูวีบีเอ็มดับเบิลยูที่ไม่มีรหัสนี้ การขับขี่จึงต่างออกไปแบบรู้สึกได้
ทั้งนี้ผู้เขียนเคยนำเสนอบททดสอบ X3 xDrive20d ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งกล่าวถึงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบฟูลไทม์ xDrive เอาไว้ดังนี้ครับ
การขับขี่ปกติ (ถนนเรียบ แห้ง ทางตรงความเร็วคงที่) ระบบจะกระจายกำลังไปล้อคู่หน้าและหลังในอัตราส่วน 40:60 แต่เมื่อสภาพการขับขี่เปลี่ยนไป xDrive จะปรับการกระจายกำลังระหว่างล้อหน้าและล้อหลังแบบอัตโนมัติตลอดเวลา ผ่านการคำนวณโดยอาศัยข้อมูลต่างๆ ทั้งความเร็วรถ อัตราการหมุนของล้อ องศาของพวงมาลัย ตำแหน่งของคันเร่ง เพื่อวิเคราะห์การตอบสนองระหว่างล้อหน้าและล้อหลังให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับและสภาพถนน รวมถึงรักษาเสถียรภาพการทรงตัวสูงสุด
….สรุปว่า xDrive เป็นระบบที่ดี และมีแล้วได้ใช้แน่นอน(ไม่เสียเงินเปล่า)
ในเรื่องอัตราบริโภคน้ำมัน ผู้เขียนขับระยะทางไกลใช้ความเร็ว100-120 กม./ชม. เห็นตัวเลขที่หน้าจอแสดงผลประมาณ 14กม./ลิตร
อีกหนึ่งประเด็นที่ผู้เขียนประทับใจกับ “เอ็กซ์4”คันนี้คือ ภาพลักษณ์สไตล์สปอร์ตคูเป้ยังแฝงไว้ด้วยความอเนกประสงค์ เบาะนั่งแถวสองปรับได้แบบ 40:20:40 เมื่อพับลงหมดก็เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้อีกโข หรือถ้านั่งเบาะหลังก็สามารถประจำการได้ 3 คน โดยไม่มีกล่อง(คอนโซล) มากั้นเหมือนกับ “เอ็กซ์6”
เหนืออื่นใดในการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งฟังจากเสียงตอบรับของเพื่อนร่วมเดินทางว่า นั่งสบาย การรองรับยังนุ่มนวลพอสมควร ขณะที่ความเห็นของผู้เขียนในตำแหน่งผู้ขับ ต้องบอกว่าโครงสร้างช่วงล่าง-ตัวถังของ X4 xDrive20d M Sport สมดุลลงตัว ทั้งทางตรงใช้ความสูงหรือข้าโค้งแรงๆให้ความมั่นคง แหวกอากาศผ่านอุปสรรคไปได้ฉลุย เรียกว่าขับความเร็วต่ำคล่องตัว ใช้ความเร็วสูงไม่เครียดครับ
อีกออปชันที่ชอบเป็นการส่วนตัวคือ ระบบเปิดประตู(ฝากระโปรง)หลังอัตโนมัติที่ไม่ต้องใช้มือหรือกดรีโมทให้ยุ่งยาก ระบบนี้อำนวยความสะดวกได้ดีหากเราถือของพะรุงพะรัง เพียงมีรีโมทติดตัวและใช้เท้าเตะไปใต้ท้องรถ ตรงกลางกันชนหลัง (ป้ายทะเบียน) ถ้าตรงกับจังหวะของเซ็นเซอร์ก็จะสั่งให้ประตูหลังบานนี้เด้งเปิดอัตโนมัติทันที (จริงๆผู้เขียนเคยลองครั้งแรกกับ ซีรีย์3 F30 เมื่อ 3 ปีที่แล้ว)
สำหรับ“เอ็กซ์4” ยังเป็นรถในรูปแบบนำเข้าทั้งคัน (CBU) ต่างจาก “เอ็กซ์3” ที่ประกอบในประเทศ ส่งผลให้ราคาดูหวือหวาไปตามรูปลักษณ์ โดยรุ่น X4 xDrive20d M Sport ขายอยู่ 4.999 ล้านบาท แพงกว่า X3 xDrive20d M Sport 3.499 ล้านบาท ต่างกัน 1.5 ล้านบาท ที่สำคัญราคาของ “เอ็กซ์4” รุ่นนี้ยังแพงกว่ารุ่น “เอ็กซ์5” รุ่นเริ่มต้น sDrive25d ถึง 4 แสนบาท
ดังนั้น“เอ็กซ์4” น่าจะเป็นเรื่องของคนชอบความแตกต่าง มีอารมณ์ความหลงไหล มากกว่าเหตุผลที่ใช้ในการซื้อรถทั่วไป
อย่างไรก็ตามถ้ามองว่านี่คือ “เอ็กซ์6” สุดยอดเอสยูวี ที่ย่อส่วนลงมา พร้อมราคาที่ถูกกว่า 2 ล้านบาท (X6 xDrive30d ราคา 6.999 ล้านบาท) มองมุมนี้ค่อยมีกำลังใจในการสนับสนุนความคิดขึ้นมาหน่อย
ทว่าการเดินเกม การวางตำแหน่งสินค้าและราคา นอกจากบีเอ็มดับเบิลยูจะต้องมองที่โปรดักต์ตัวเองแล้ว จากนี่ไปก็ชะล่าใจมากไม่ได้ เพราะในปัจจุบันตลาดเอสยูวีแข่งขันกันดุเหลือเกิน มีรุ่นให้เลือกมากมาย (สังเกตได้จากการทดสอบรถในระยะหลังมีแต่เอสยูวีเป็นส่วนมาก) ยิ่งคู่แข่งอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ ปรับไลน์อัพใหม่ กลุ่มเอสยูวีมีภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งคู่ปรับตรงๆอย่าง “จีแอลเค” ที่จะเปลี่ยนโมเดลใหม่เป็น “จีแอลซี” จากเดิมเมืองไทยไม่เคยทำตลาด แต่หลังจากการเปิดตัวในระดับโลก(ประมาณปีหน้า) บ้านเราคงจะนำเข้ามาขายแน่ๆ
รวบรัดตัดความ…สมรรถนะยอดเยี่ยมจาก เครื่องยนต์ใหม่ เกียร์ ระบบ xDrive และช่วงล่าง พร้อมการออกแบบสวยงาม บุกเบิกมิติใหม่ให้วงการรถยนต์/เอสยูวี ข่าวดีคือไม่ต้องเสียเงินซื้อถึง “เอ็กซ์6” (จ่ายเพิ่มอีก2ล้าน) ก็ได้ความโดดเด่นบนความกะทัดรัด แถมขับขี่คล่องตัวกว่า ส่วนข่าวร้ายคือแพงกว่า “เอ็กซ์5” และ“เอ็กซ์3” ที่ประกอบในประเทศอยู่เป็นหลักแสนถึงหลักล้านตามลำดับ...แล้วคุณเป็นคนที่ชอบฟังข่าวดีหรือข่าวร้าย?
ด้วยคอนเซปต์หล่อล่ำ ออกแบบให้ดูบึกบึนมีมัดกล้าม พร้อมเส้นสายของเสาซีที่ลาดเอียง ตัวรถ/ระดับหลังคาต่ำกว่า“เอ็กซ์3”เล็กน้อย ประกบล้ออัลลอย 19 นิ้วซึ่งเป็นหนึ่งในชุดแต่ง M Sport ยิ่งส่งให้รถดูสง่างาม
โดยรุ่นX4 xDrive20d M Sport ที่ผู้เขียนได้ลองขับ วางเครื่องยนต์ดีเซลเจเนอเรชันใหม่ รหัสB47 เหมือนรถยนต์ดีเซลรุ่นอื่นๆของค่าย (เดิมรหัสN47) กับบล็อก 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที (ถ้าเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นเดิม 184 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที (เดิม 380 นิวตันเมตร) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive
แม้จะเป็นเครื่องยนต์เดียวกับ X3 xDrive20d แต่สัมผัสการขับรวมๆเหมือน“เอ็กซ์4” จะปราดเปรียว เฉียบคมกว่านิดๆ พวงมาลัยแบบเซอร์โวไฟฟ้าสั่งงานแม่นยำ ทั้งน้ำหนักและการควบคุมช่วยผ่อนแรงและหน่วงมือตามสภาพการขับขี่ สอดคล้องกับช่วงล่างหนึบแน่นแต่ไม่กระด้าง ขณะที่การตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์อารมณ์ไม่ถึงกับพุ่งกระชาก ออกแนวนุ่มนวลต่อเนื่องตามสไตล์รถยนต์ดีเซล และถ้าอยากได้กำลังแรงทันที อาจจะต้องเหยียบคันเร่งลงไปลึกหน่อย ด้านอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 8.0 วินาที ดีกว่า “เอ็กซ์3” เครื่องยนต์เดียวกัน 0.1 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 212 กม./ชม.
ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive เหมือนเป็นระบบปิดทองหลังพระ เพราะระบบนี้จะคำนวณแรงบิดไปสู่ล้อหน้า-หลัง ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ ดังนั้นที่บอกว่า เอสยูวีบีเอ็มดับเบิลยูขับดีสมรรถนะเยี่ยม ส่วนหนึ่งเพราะ xDrive นี่ละครับ จึงไม่แปลกที่เอสยูวีบีเอ็มดับเบิลยูที่ไม่มีรหัสนี้ การขับขี่จึงต่างออกไปแบบรู้สึกได้
ทั้งนี้ผู้เขียนเคยนำเสนอบททดสอบ X3 xDrive20d ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งกล่าวถึงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบฟูลไทม์ xDrive เอาไว้ดังนี้ครับ
การขับขี่ปกติ (ถนนเรียบ แห้ง ทางตรงความเร็วคงที่) ระบบจะกระจายกำลังไปล้อคู่หน้าและหลังในอัตราส่วน 40:60 แต่เมื่อสภาพการขับขี่เปลี่ยนไป xDrive จะปรับการกระจายกำลังระหว่างล้อหน้าและล้อหลังแบบอัตโนมัติตลอดเวลา ผ่านการคำนวณโดยอาศัยข้อมูลต่างๆ ทั้งความเร็วรถ อัตราการหมุนของล้อ องศาของพวงมาลัย ตำแหน่งของคันเร่ง เพื่อวิเคราะห์การตอบสนองระหว่างล้อหน้าและล้อหลังให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับและสภาพถนน รวมถึงรักษาเสถียรภาพการทรงตัวสูงสุด
….สรุปว่า xDrive เป็นระบบที่ดี และมีแล้วได้ใช้แน่นอน(ไม่เสียเงินเปล่า)
ในเรื่องอัตราบริโภคน้ำมัน ผู้เขียนขับระยะทางไกลใช้ความเร็ว100-120 กม./ชม. เห็นตัวเลขที่หน้าจอแสดงผลประมาณ 14กม./ลิตร
อีกหนึ่งประเด็นที่ผู้เขียนประทับใจกับ “เอ็กซ์4”คันนี้คือ ภาพลักษณ์สไตล์สปอร์ตคูเป้ยังแฝงไว้ด้วยความอเนกประสงค์ เบาะนั่งแถวสองปรับได้แบบ 40:20:40 เมื่อพับลงหมดก็เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้อีกโข หรือถ้านั่งเบาะหลังก็สามารถประจำการได้ 3 คน โดยไม่มีกล่อง(คอนโซล) มากั้นเหมือนกับ “เอ็กซ์6”
เหนืออื่นใดในการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งฟังจากเสียงตอบรับของเพื่อนร่วมเดินทางว่า นั่งสบาย การรองรับยังนุ่มนวลพอสมควร ขณะที่ความเห็นของผู้เขียนในตำแหน่งผู้ขับ ต้องบอกว่าโครงสร้างช่วงล่าง-ตัวถังของ X4 xDrive20d M Sport สมดุลลงตัว ทั้งทางตรงใช้ความสูงหรือข้าโค้งแรงๆให้ความมั่นคง แหวกอากาศผ่านอุปสรรคไปได้ฉลุย เรียกว่าขับความเร็วต่ำคล่องตัว ใช้ความเร็วสูงไม่เครียดครับ
อีกออปชันที่ชอบเป็นการส่วนตัวคือ ระบบเปิดประตู(ฝากระโปรง)หลังอัตโนมัติที่ไม่ต้องใช้มือหรือกดรีโมทให้ยุ่งยาก ระบบนี้อำนวยความสะดวกได้ดีหากเราถือของพะรุงพะรัง เพียงมีรีโมทติดตัวและใช้เท้าเตะไปใต้ท้องรถ ตรงกลางกันชนหลัง (ป้ายทะเบียน) ถ้าตรงกับจังหวะของเซ็นเซอร์ก็จะสั่งให้ประตูหลังบานนี้เด้งเปิดอัตโนมัติทันที (จริงๆผู้เขียนเคยลองครั้งแรกกับ ซีรีย์3 F30 เมื่อ 3 ปีที่แล้ว)
สำหรับ“เอ็กซ์4” ยังเป็นรถในรูปแบบนำเข้าทั้งคัน (CBU) ต่างจาก “เอ็กซ์3” ที่ประกอบในประเทศ ส่งผลให้ราคาดูหวือหวาไปตามรูปลักษณ์ โดยรุ่น X4 xDrive20d M Sport ขายอยู่ 4.999 ล้านบาท แพงกว่า X3 xDrive20d M Sport 3.499 ล้านบาท ต่างกัน 1.5 ล้านบาท ที่สำคัญราคาของ “เอ็กซ์4” รุ่นนี้ยังแพงกว่ารุ่น “เอ็กซ์5” รุ่นเริ่มต้น sDrive25d ถึง 4 แสนบาท
ดังนั้น“เอ็กซ์4” น่าจะเป็นเรื่องของคนชอบความแตกต่าง มีอารมณ์ความหลงไหล มากกว่าเหตุผลที่ใช้ในการซื้อรถทั่วไป
อย่างไรก็ตามถ้ามองว่านี่คือ “เอ็กซ์6” สุดยอดเอสยูวี ที่ย่อส่วนลงมา พร้อมราคาที่ถูกกว่า 2 ล้านบาท (X6 xDrive30d ราคา 6.999 ล้านบาท) มองมุมนี้ค่อยมีกำลังใจในการสนับสนุนความคิดขึ้นมาหน่อย
ทว่าการเดินเกม การวางตำแหน่งสินค้าและราคา นอกจากบีเอ็มดับเบิลยูจะต้องมองที่โปรดักต์ตัวเองแล้ว จากนี่ไปก็ชะล่าใจมากไม่ได้ เพราะในปัจจุบันตลาดเอสยูวีแข่งขันกันดุเหลือเกิน มีรุ่นให้เลือกมากมาย (สังเกตได้จากการทดสอบรถในระยะหลังมีแต่เอสยูวีเป็นส่วนมาก) ยิ่งคู่แข่งอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ ปรับไลน์อัพใหม่ กลุ่มเอสยูวีมีภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งคู่ปรับตรงๆอย่าง “จีแอลเค” ที่จะเปลี่ยนโมเดลใหม่เป็น “จีแอลซี” จากเดิมเมืองไทยไม่เคยทำตลาด แต่หลังจากการเปิดตัวในระดับโลก(ประมาณปีหน้า) บ้านเราคงจะนำเข้ามาขายแน่ๆ
รวบรัดตัดความ…สมรรถนะยอดเยี่ยมจาก เครื่องยนต์ใหม่ เกียร์ ระบบ xDrive และช่วงล่าง พร้อมการออกแบบสวยงาม บุกเบิกมิติใหม่ให้วงการรถยนต์/เอสยูวี ข่าวดีคือไม่ต้องเสียเงินซื้อถึง “เอ็กซ์6” (จ่ายเพิ่มอีก2ล้าน) ก็ได้ความโดดเด่นบนความกะทัดรัด แถมขับขี่คล่องตัวกว่า ส่วนข่าวร้ายคือแพงกว่า “เอ็กซ์5” และ“เอ็กซ์3” ที่ประกอบในประเทศอยู่เป็นหลักแสนถึงหลักล้านตามลำดับ...แล้วคุณเป็นคนที่ชอบฟังข่าวดีหรือข่าวร้าย?