ข่าวในประเทศ - น้ำมันแพงส่งผลเอสซีจีออโตแก๊สประกาศสิ้นปียอดทะลุ 2,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาด 20% พร้อมลงทุน 200 ล้านขยายสาขาเพิ่มเท่าตัว คาดตลาดรวมแก๊สรถยนต์โตเพิ่ม 10 % ย้ำรัฐบาลต้องชัดเจนจะสนับสนุนพลังงานประเภทไหนเพื่อให้ราคาแก๊สคงที่
นายอภิสิทธิ์ ธนาดำรงศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี ออโตแก๊ส จำกัด ผู้ผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ถังก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี กล่าวว่าแม้ปัจจุบันราคาของพลังงานทางเลือกเอ็นจีวีหรือแอลพีจียังไม่มีความแน่นอน แต่คาดว่าตลาดจะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะราคาน้ำมันยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้ตลาดพลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆเติบโตสูงขึ้นตามมาด้วยเช่นเดียวกัน
"ในปีนี้เราจะมาเน้นที่ตัวของแอลพีจีมากขึ้นโดยมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนจากปีที่ผ่านมา ระบบเอ็นจีวีและแอลพีจีจะอยู่ที่ 90:10 มาเป็น 40:60 และตั้งเป้ารวมทั้งสองระบบไว้ที่ประมาณ 5,000 คันต่อเดือนสำหรับตลาดโออีเอ็มที่เราผลิตให้กับโตโยต้าและมิตซูบิชิ จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 10% ต่อปีและเอสซีจีมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 20% ส่งผลให้ยอดขายปีนี้คาดว่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าของเรามีทั้งรถบ้านและบริษัทค่ายรถที่เราติดตั้งระบบแก๊สให้กับรถใหม่จากตัวแทนจำหน่าย"
สำหรับในปีนี้บริษัทยังเตรียมขยายสาขาเพิ่มอีกทั้งหมด 8 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯจาก 2 สาขามาเป็น 5 สาขา และต่างจังหวัดจาก 2 สาขาเป็น 7 สาขา โดยใช้งบประมาณทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งแต่ละศูนย์สามารถรองรับลูกค้าได้ประมาณ 60 คันต่อวัน นอกจากนี้บริษัทยังได้การสิทธิ์ในการติดตั้งโออีเอ็มให้กับทางฮอนด้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ เอสซีจียังได้เพิ่มงบประมาณ อีก 10 ล้านบาทเพื่อส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์โดยไปร่วมกับบูธของโตโยต้าในส่วนของรถทดลองขับ
ส่วนแผนการส่งออกนั้นทางเอสซีจีได้มีนโยบายที่จะขยายไปทำการตลาดที่ประเทศอินโดนีเซียโดยการลงทุนระบบซีเอ็นจีให้กับรถแท็กซี่ที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 40,000 คัน ซึ่งก่อนหน้านั้นบริษัทได้มีการไปลงทุนรับบแอลพีจีที่ประเทศเวียดนามมาแล้ว ทั้งนี้ปัจจุบันเอสซีจีมีโรงงานทั้งหมด 3 แห่งด้วยกันคือโรงงานลำลูกกาสำหรับติดตั้งจากลูกค้าโออีเอ็มมีกำลังการติดตั้งที่ 4,000 คันต่อเดือน โรงงานแสมดำติดตั้งสำหรับรถตู้และรถขสมก. 20,000 คัน และโรงงานเกตเวย์สำหรับติดตั้งระบบซีเอ็นจีให้โตโยต้าอีก 2,000 คันต่อเดือน
นายอภิสิทธิ์ ธนาดำรงศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี ออโตแก๊ส จำกัด ผู้ผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ถังก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี กล่าวว่าแม้ปัจจุบันราคาของพลังงานทางเลือกเอ็นจีวีหรือแอลพีจียังไม่มีความแน่นอน แต่คาดว่าตลาดจะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะราคาน้ำมันยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้ตลาดพลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆเติบโตสูงขึ้นตามมาด้วยเช่นเดียวกัน
"ในปีนี้เราจะมาเน้นที่ตัวของแอลพีจีมากขึ้นโดยมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนจากปีที่ผ่านมา ระบบเอ็นจีวีและแอลพีจีจะอยู่ที่ 90:10 มาเป็น 40:60 และตั้งเป้ารวมทั้งสองระบบไว้ที่ประมาณ 5,000 คันต่อเดือนสำหรับตลาดโออีเอ็มที่เราผลิตให้กับโตโยต้าและมิตซูบิชิ จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 10% ต่อปีและเอสซีจีมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 20% ส่งผลให้ยอดขายปีนี้คาดว่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าของเรามีทั้งรถบ้านและบริษัทค่ายรถที่เราติดตั้งระบบแก๊สให้กับรถใหม่จากตัวแทนจำหน่าย"
สำหรับในปีนี้บริษัทยังเตรียมขยายสาขาเพิ่มอีกทั้งหมด 8 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯจาก 2 สาขามาเป็น 5 สาขา และต่างจังหวัดจาก 2 สาขาเป็น 7 สาขา โดยใช้งบประมาณทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งแต่ละศูนย์สามารถรองรับลูกค้าได้ประมาณ 60 คันต่อวัน นอกจากนี้บริษัทยังได้การสิทธิ์ในการติดตั้งโออีเอ็มให้กับทางฮอนด้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ เอสซีจียังได้เพิ่มงบประมาณ อีก 10 ล้านบาทเพื่อส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์โดยไปร่วมกับบูธของโตโยต้าในส่วนของรถทดลองขับ
ส่วนแผนการส่งออกนั้นทางเอสซีจีได้มีนโยบายที่จะขยายไปทำการตลาดที่ประเทศอินโดนีเซียโดยการลงทุนระบบซีเอ็นจีให้กับรถแท็กซี่ที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 40,000 คัน ซึ่งก่อนหน้านั้นบริษัทได้มีการไปลงทุนรับบแอลพีจีที่ประเทศเวียดนามมาแล้ว ทั้งนี้ปัจจุบันเอสซีจีมีโรงงานทั้งหมด 3 แห่งด้วยกันคือโรงงานลำลูกกาสำหรับติดตั้งจากลูกค้าโออีเอ็มมีกำลังการติดตั้งที่ 4,000 คันต่อเดือน โรงงานแสมดำติดตั้งสำหรับรถตู้และรถขสมก. 20,000 คัน และโรงงานเกตเวย์สำหรับติดตั้งระบบซีเอ็นจีให้โตโยต้าอีก 2,000 คันต่อเดือน
