ตกเป็นข่าวตามหน้าอินเตอร์เน็ตอยู่นาน ในที่สุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ก็เผยโฉมเวอร์ชันเปิดหลังคาท้าสายลมของ SLS AMG ออกมาแล้ว แต่บอกไว้ก่อนว่า เสน่ห์ประตูเปิดขึ้นแบบปีกนกที่เป็นเอกลักษณ์จะไม่มีให้สัมผัสแล้วในตัวถังนี้ เพราะจากหลังคาที่ถูกถอดออกไปตามแบบฉบับโรดสเตอร์ หรือสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ทำให้ไม่สามารถติดตั้งประตูในสไตล์นี้ได้
ถือเป็นการเดินตามรอย 300SL เจ้าของฉายา Gullwing ที่โด่งดังในช่วงทศวรรษที่ 1950 อย่างแท้จริง เพราะนอกจากการผลิตรุ่นคูเป้ออกมาให้ลูกค้าได้สัมผัสแล้ว อีกตัวถังที่ขาดไม่ได้ คือ โรดสเตอร์ หรือเปิดประทุน ซึ่งใน SLS AMG ค่ายดาว 3 แฉกก็เดินตามรอยนี้เช่นกัน
ถ้าอยากสปอร์ตสวยหรูแบบท้าสายลมด้วยความเร้าใจ ต้องเข้าใจและทำใจก่อนว่า SLS AMG Roadster ไม่สามารถที่จะมาพร้อมกับประตูเปิดแบบปีกนก หรือ Gullwing อันเนื่องมาจากขาดแผ่นหลังคาเหล็กซึ่งจะทำหน้าที่เป็นจุดยึดและบานพับของประตู ดังนั้นดูๆ แล้ว SLS AMG ก็เหมือนกับโรดสเตอร์ทั่วไป
แม้จุดเด่นของรุ่นคูเป้จะหายไป แต่สิ่งที่แลกมาก็คือ ความสวยสปอร์ตและเร้าใจในทุกมุมมอง พร้อมกับชุดหลังคาอ่อน หรือ Soft Top แบบพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า โดยสามารถกางออก หรือพับเก็บในขณะที่กำลังแล่นด้วยความเร็วไม่เกิน 31 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อย่างไรถึงจะไม่มีหลังคา แต่ในรุ่นเปิดประทุนก็มีน้ำหนักมากกว่ารุ่นคูเป้อยู่ 88 ปอนด์ หรือ 40 กิโลกรัม อันเป็นผลมาจากการเสริมความแข็งแกร่งตามจุดต่างๆ บนตัวถัง ทั้งเพิ่มความหนาของวัสดุ เพิ่มคานเหล็ก และเพิ่มจุดเชื่อมโดยเฉพาะเสากระจกบังลมหน้า หรือ A-Pillar ซึ่งถูกเสริมความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะจะต้องรับน้ำหนักและแรงกระแทกหากเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ขณะที่โครงสร้างตัวถังที่ไม่มีหลังคาจะทำให้การบิดตัวมากจนเสียรูปทรงในระหว่างที่มีการกดคันเร่งหนักๆ หรือในจังหวะของการเลี้ยว
นั่นคือเหตุผลที่ว่าแม้จะใช้โครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียมเหมือนกัน แถมยังไม่มีหลังคา แต่ทำไม SLS AMG Roadster ถึงมีน้ำหนักมากกว่า โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 3,661 ปอนด์ หรือ 1,664 กิโลกรัม แต่ตรงนี้ไม่ส่งผลต่อสมรรถนะในการขับเคลื่อน เพราะยังตอบสนองความเร้าใจเหมือนเดิม
เครื่องยนต์วี8 ขนาด 6208 ซีซี ยังรับหน้าที่ในการาสร้างพลังขับเคลื่อนเหมือนกับรุ่นคูเป้ รวมถึงเวอร์ชัน 63AMG ของรถยนต์รุ่นต่างๆ จากค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ ใช้ระบบหล่อลื่นในแบบ Dry Sump จึงสามารถออกแบบให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง เพราะอ่างน้ำมันเครื่องไม่ได้อยู่ที่ด้านล่างเครื่องยนต์
ขุมพลังบล็อกนี้ผลิตกำลังสูงสุดถูกออกมาที่ 563 แรงม้า ที่ 6,800 รอบ/นาที หรือเมื่อบวกลบคูณหารกับน้ำหนักของตัวรถแล้ว ม้า 1 ตัวแบกน้ำหนักเพียง 2.95 กิโลกรัม ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 66.1 กก.-ม. ที่ 4,750 รอบ/นาที
เมื่อจับคู่กับเกียร์ AMG SPEEDSHIFT DCT 7 จังหวะ มีโหมดให้เลือก 4 แบบ คือ "C" (Controlled Efficiency), "S" (Sport), "S+" (Sport plus) และ "M" (Manual) การถ่ายทอดกำลังทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 317 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งตามเอกสารข่าวของเมอร์เซเดส-เบนซ์บอกว่าถูกล็อกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นถ้าปลอดออกก็น่าจะไปได้อีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไต่ไปได้ไกลอีกแค่ไหน
ในเรื่องความประหยัดน้ำมัน ตอบสนองด้วยตัวเลขในระดับ 7.5 กิโลเมตร/ลิตร สำหรับการขับแบบผสมผสาน และมีการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับ 308 กรัมต่อกิโลเมตร
นอกจากนั้นในรุ่นนี้ยังใช้เพลากลางที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ มีน้ำหนักเบาแต่ทนทานจำนวนม้าและแรงบิดมหาศาลได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ใช้กับตัวแข่งซี-คลาสในรายการ DTM ส่วนตำแหน่งของเกียร์จะอยู่ชิดกับเฟืองท้ายเพื่อประโยชน์ในเรื่องการกระจายน้ำหนัก ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 47-53% สำหรับด้านหน้าและหลัง โดนชุดเกียร์จะเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ผ่านทาง Torque Tube ซึ่งเป็นท่อกลวงและมีเพลากลางคาร์บอนไฟเบอร์หมุนอยู่ข้างใน
ตอบสนองการยึดเกาะด้วยระบบช่วงล่างแบบปีกนก 2 ชั้น ทั้งด้านหน้าและหลัง พร้อมกับโหมดการปรับระบบกันสะเทือนอัตโนมัติตามพื้นผิวถนน หรือถ้าอยากจะเลือกปรับเซตความแข็งของโช้กอัพก็สามารถทำได้ผ่านทางปุ่มที่ติดตั้งภายในห้องโดยสาร ส่วนล้อแม็กด้านหน้าเป็นขนาด 19 นิ้วจับคู่กับยาง 265/35ZR19 และด้านหลังเป็นขนาด 20 นิ้วจับคู่กับยาง 295/30ZR20
เริ่มลุยตลาดเยอรมนีแล้วกับค่าตัว 195,160 ยูโร หรือ 8.6 ล้านบาท ส่วนสหรัฐอเมริกาจะเริ่มขายในปลายปีนี้กับราคาที่ยังไม่เปิดเผย เช่นเดียวกับบ้านเราน่าจะได้เห็นคันจริงตัวเป็นๆ กันในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2012 ซึ่งเป็นงานที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มักจะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของตัวเองมาเปิดตัว แต่จะขายหรือไม่นั้น ต้องรอดูกันต่อไป