จากต้นแบบที่เปิดตัวในปี 2010 ถึงตอนนี้ซีตรองจัดการสานฝันให้เป็นจริงด้วยการเผยโฉมเจเนอเรชันที่ 2 ของรถยนต์ในรหัส DS-Different Spirit ซึ่งทำตลาดในชื่อ DS4 ออกมาแล้ว และพร้อมทำตลาดยุโรปในช่วงกลางปีนี้กับตัวถังทรงแฮตช์แบ็ก 5 ประตูยกสูงในสไตล์ Cross-Over ทรงสปอร์ต
รหัส DS ถือเป็นความพยายามครั้งใหม่ของซีตรองในการยกระดับและอัปเกรดแบรนด์ของตัวเองให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่มพรีเมียมเพื่อเป็นคู่ปรับของบรรดความหรูจากเยอรมนีอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และออดี้ โดยซีตรองเปิดตัวรุกตลาดระลกแรกกับซับคอมแพ็กต์รุ่น DS3 ซึ่งในเวลาต่อมาถูกนำมาพัฒนาเป็นตัวแข่งสำหรับลุยแรลลี่โลกแทนที่ C4
สำหรับ DS4 เป็นคงความหรูที่ถูกอัปเกรดบนพื้นฐานของคอมแพ็กต์คาร์รุ่น C4 พร้อมกับการออกแบบรูปลักษณ์ทั้งภายนอกใหม่หมด โดยเน้นตัวถังแบบสปอร์ตที่เรียกว่าเป็นแบบ 2+2 ประตู ซึ่งความจริงแล้วก็มี 4 ประตูนั่นแหละ เพียงแต่ประตูคู่หลังถูกออกแบบให้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และแนวเส้นหลังคาด้านหลังก็ลาดเทลงมา เมื่อประกอบกับไม่มีมือเปิดประตูให้เห็น (ความจริงอยู่ด้านข้างหน้าต่างคล้ายกับอัลฟา 156) ก็เลยทำให้ดูผ่านๆ คิดว่าเป็นสปอร์ตแบบคูเป้
ในแง่มิติตัวถัง DS4 มากับความยาวในระดับ 4,270 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร และสูง 1,530 มิลลิเมตร สวยสะดุดตาในแบบสปอร์ต พร้อมตัวถังยกสูงและให้ความอเนกประสงค์ในการใช้งานเหมือนกับรถยนต์ในแบบ Croos-over (และจะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อพับเบาะหลังลงทั้งหมด) อีกทั้งยังสามารถตอบสนองการขับได้อย่างเร้าใจภายใต้แนวคิด ‘at-the-wheel’ ด้วยความคล่องตัวเมื่อยู่ในเมือง และการทรงตัวที่ดีเยี่ยมเมื่อขับบนเส้นทางคดเคี้ยว
ภายในห้องโดยสารตอบสนองด้วยความหรูหรา และโอ่อ่า แนวของเสากระจกบังลมหน้าลาดเทไปทางด้านหลัง และกระจกบังลมหน้ามีขนาดใหญ่ และขอบบนของแนวกระจกกินพื้นที่ล้ำเข้ามาจนถึงเบาะนั่งคู่หน้า ทำให้ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยที่ดีขึ้นในระหว่างการขับ เช่นเดียวกับการให้สัมผัสที่ปลอดโปร่ง
นอกจากนั้นภายในห้องโดยสารยังตกแต่งด้วยวัสดุชั้นดีเพื่อให้สัมผัสถึงความหรูหรา ขณะที่ตัวเบาะมากับลวดลายซึ่งเรียกว่า Bracelet ซึ่งดูแล้วเหมือนกับลวดลายบนสายของนาฬิกา ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมากับความจุในระดับ 370 ลิตร และจะเพิ่มขึ้นอีกหากมีการพับเบาะนั่งด้านหลังลงทั้งหมด
ตอบสนองการขับเคลื่อนด้วย 5 ทางเลือกแบ่งเป็น 3 สำหรับขุมพลังเบนซินซึ่งก็มีทั้งบล็อกหายใจเอง 1600 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VTi ที่มีกำลัง 120 แรงม้า และแบบแรงเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ 1600 ซีซี เทอร์โบ มีกำลังสูงสุดให้เลือก 2 แบบ คือ 155 และ 200 แรงม้า ซึ่งเป็นขุมพลังบล็อกเดียวกับที่เปอโยต์ร่วมพัฒนากับทางบีเอ็มดับเบิลยู และอีก 2 รุ่นเป็นขุมพลังเทอร์โบดีเซล 110 และ 160 แรงม้า เลือกได้ว่าจะส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ
รุ่นเทอร์โบดีเซลทั้ง 2 แบบมากับระบบที่เรียกว่า e-HDi โดยมีการติดตั้งระบบ Auto Start/Stop เหมือนกับรถยนต์ไฮบริด รวมถึงมีการนำพลังงานที่เกิดขึ้นในระหว่างการเบรกมาแปรรูปเป็นกระแสไฟฟ้าเพื่อเก็บในแบตเตอรี่
เพื่อความปลอดภัยในการหยุด ซีตรองติดตั้งดิสก์แบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 340 มิลลิเมตรใหก้กับทุกุรุ่นเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับระบบความปลอดภัยต่างๆ เช่น ระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเสริมแรงเบรก และระบควบคุมการทรงตัว หรือ ESP
ที่สำคัญ DS4 ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของผู้ผลิตรถยนต์ที่สนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะนอกจากเครื่องยนต์จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่ต่ำแล้ว ยังมีการชิ้นส่วนซึ่งผลิตจากพลาสติกที่สังเคราะห์จากวัสดุในธรรมชาติมากถึง 15% จากจำนวนพลาสติกทั้งหมด 200 กิโลกรัมซึ่งใช้ในรถยนต์รุ่นนี้
การผลิตของ DS4 จะอยู่ที่โรงงาน Poissy ประเทศฝรั่งเศส และจะเริ่มขายตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป ส่วนราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 16,000 ปอนด์ หรือ 800,000 บาท