แม้จะไม่ได้บอกกล่าวกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่การเปิดตัวของ LF-Gh ในงานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ 2011 เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็ทำให้บรรดาตลาดรถยนต์ระดับหรูขนาดกลางกึ่งใหญ่เริ่มมีดีกรีของการแข่งขันระอุขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่ากันว่าต้นแบบรุ่นนี้จะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อแปลงร่างเป็นโฉมใหม่ของ GS-Series คู่แข่งระดับเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5, ออดี้ เอ6 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส
เช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นใหญ่อย่าง LS ของเล็กซัส นักขับระดับหรูรู้จักชื่อของ GS ในฐานะรถยนต์รุ่นรองจาก LS มานานตั้งแต่ปี 1991 โดย 2 เจนเนอเรชันแรกเป็นการนำรถยนต์รุ่นอริสโต้ของโตโยต้า ซึ่งเป็นโมเดล JDM ที่มีขายอย่างเป็นทางการในตลาดญี่ปุ่นมารีแบรนด์ขายในชื่อของเล็กซัสเหมือนกับ LS จนกระทั่งถึงเจนเนอเรชันที่ 3 หรือรุ่นปัจจุบันของ GS ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น
เพราะปี 2005 โตโยต้าได้นำเล็กซัสเข้ามาขายในญี่ปุ่นเพื่อแข่งกับแบรนด์ระดับหรูของเยอรมนีที่กินรวมตลาดรถยนต์หรูในญี่ปุ่น ดังนั้น การนำรถยนต์ของเล็กซัสที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเข้ามาขายบ้านตัวเอง ก็เท่ากันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ เพราะอย่างที่บอกข้างต้น รถยนต์ของเล็กซัสที่ขายอยู่ในตลาดตอนนั้นคือการนำเวอร์ชัน JDM ของโตโยต้ามารีแบรนด์ขาย
ด้วยเหตุนี้นับจากปี 2005 เป็นต้นมา รถยนต์โมเดลหลักของเล็กซัสก็เลยต้องพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยไม่ต้องอิงอยู่กับการยืมรถยนต์ของโตโยต้ามาแปะโลโก้ใหม่ขาย ยกเว้นกลุ่มเอสยูวีอย่างรุ่น RX , GX และ LX ที่ยังใช้ร่วมกับรุ่นแฮร์ริเออร์ และแลนด์ครูสเซอร์ทั้งพราโดอยู่ และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการรุกตลาดหรูเวอร์ชัน JDM ของโตโยต้าที่เคยถูกยืมร่างมาขาย เช่น เซลซิเออร์, อริสโต้ และอัลเทสซ่า ก็ถูกยุติการทำตลาดไปเลย
รุ่นใหม่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 4 และว่ากันว่าจะมีเตรียมเปิดตัวภายในปีหน้า ซึ่งเท่ากับว่า LF-Gh เป็นเงาสะท้อนถึงรูปทรงและหน้าตาคร่าวๆ ของรูปลักษณ์ภายนอกและเค้าโครงของรูปทรงที่ GS ใหม่ควรจะเป็น โดยเล็กซัสเผยว่าต้นแบบรุ่นนี้คงคอนเซ็ปต์และแนวคิดการพัฒนารถยนต์ในสไตล์ GT Sedan หรือ Gran Touring Sedan ตอบสนองความสะดวกสบายขณะขับขี่ โดยเฉพาะรูปแบบของการเดินทางไกลด้วยความเร็วสูง ที่สำคัญคือ การพัฒนามีขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์แบบขับเคลื่อนล้อหลัง เน้นความโฉบเฉี่ยวและปราดเปรียว
รุ่นต้นแบบมากับตัวถังทรง 4 ประตูที่มีความยาว 4,890 มิลลิเมตร กว้าง 1,870 มิลลิเมตร สูง 1,450 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร ส่วนงานออกแบบ ทางเล็กซัสเผยว่ายังยึดรูปแบบและกลิ่นอายของแนวคิด LF-Finesse ที่ถูกเปิดตัวออกมาครั้งแรกปี 2001 เน้นรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวและเพรียวลมด้วยเส้นสายที่เฉียบคมบนตัวถัง กระจังหน้ามีขนาดใหญ่ และถูกรวมเป็นชุดเดียวกับช่องดักอากาศบนกันชนช่วยเพิ่มสัมผัสแห่งความดุดัน แถมยังเน้นความสปอร์ตด้วยล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว ซึ่งด้านหน้าจับคู่กับยาง 245/35R20 และด้านหลังขนาด 285/30R20
LED ถูกนำมาใช้ในการทำหน้าที่เป็นไฟส่องสว่างทั้งไฟหน้า และไฟท้ายของตัวต้นแบบ ซึ่งแน่นอนว่ารุ่นจำหน่ายจริง เล็กซัสคงนำหลอดไฟประเภทนี้มาใช้ในการทำตลาดจริง เพราะปัจจุบัน รถยนต์ระดับหรูเกือบทุกแบรนด์จะใช้ไฟแบบ LED ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย
ห้องโดยสารทางเล็กซัสเผยว่าเน้นความโอ่อ่าตามแบบฉบับรถยนต์ขนาดกลางกึ่งใหญ่ ตอบสนองการรองรับกับผู้โดยสารรวมผู้ขับ 4 ที่นั่ง และเน้นพื้นที่กว้างขวางตรงช่วงวางขาของผู้โดยสารด้านหลัง ขณะที่รายละเอียดของชุดมาตรวัดและแผงหน้าปัดถูกเปิดเผยออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่เชื่อว่าจะสามารถตอบสนองทั้งในด้านความหรูหรา และความสวยสะดุดตามในแบบสปอร์ตได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เรื่องของขุมพลังทางเล็กซัสยังไม่ได้เปิดเผยอะไรออกมามากมาย โดยในรุ่นต้นแบบขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีไฮบริด ซึ่งได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สามารถตอบสนองทั้งในแง่ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง การลดมลพิษในไอเสีย และสมรรถนะในแบบสปอร์ตหากผู้ขับขี่มีความต้องการขับอย่างเร้าใจ
คาดว่ารุ่นจำหน่ายจริงของ GS ใหม่ก็น่าจะมีทั้งเครื่องยนต์เบนซินธรรมดาในแบบวี6 และวี8 ซึ่งขึ้นอยู่กับตลาดที่ขาย รวมถึงทางเลือกแห่งความประหยัดอย่างไฮบริด ซึ่งรุ่นปัจจุบันมีขายในชื่อ GS450h
แฟนๆ ของเล็กซัส อดใจรอกันอีกนิด เพราะเชื่อว่าประมาณปลายปีนี้ ทางเล็กซัสน่าจะเผยโฉมรุ่นขายจริงของ GS Series ออกมาให้เห็นก่อนที่จะเริ่มวางขายอย่างเป็นทางในปี 2012 และเชื่อแน่ว่าหน้าตาจะต้องดูดี และแตกต่างจากรุ่นต้นแบบที่เห็นอยู่นี้อย่างแน่นอน แต่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแค่ไหน คงต้องรอติดตามกันต่อไป